12.22.2552

| หัวหินประดามี ๓๑ (หัวหิน ฮิลล์ วินยาร์ด)












o
o
o
o
o
o
หัวหิน ฮิลล์ วินยาร์ด: เมื่อเจ้าพ่อกระทิงแดงพาช้างมาเดินเล่นในไร่องุ่น November 23rd, 2009
เรื่อง: พลอย มัลลิกะมาส

หากเอ่ยชื่อเครื่องดื่มชูกำลังยอดนิยมในบ้านเรา คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินคำว่า “กระทิงแดง” เครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์แรกของประเทศไทยที่อยู่ในตลาดมายาวนานกว่า 30 ปี ชื่อเสียงของกระทิงแดงนั้นเป็นที่รู้จักและติดปากคนไทยมาช้านาน กระทั่งยุคหนึ่งในอดีต คำว่า “กระทิงแดง” ได้กลายเป็นชื่อเรียกขาน (Generic Name) แทนคำว่า เครื่องดื่มชูกำลัง” ของคนไทยทั้งประเทศ ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบถึงลูกถึงคนที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2524
การแจกสินค้าให้ลูกค้าได้ทดลองชิมฟรี ถือเป็นวิธีการทำตลาดแบบดั้งเดิมที่นายเฉลียว อยู่วิทยา (*มหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของเมืองไทย 3 ปีซ้อน จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์) ใช้สร้างฐานตลาดให้กับกระทิงแดงมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนากลายเป็น “Red Bull” (เรดบูล) แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังระดับโลก เมื่อครั้งที่นายดีทริช เมเทสซิทซ์ นักธุรกิจชาวออสเตรีย เดินทางมาประเทศไทยในปีพ.ศ. 2525 และพบว่ากระทิงแดงช่วยให้อาการ Jet Lag ของเขาดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาได้ตัดสินใจขอร่วมลงทุนกับนายเฉลียว ก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH. ขึ้น เพื่อผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม Red Bull ในภาคพื้นยุโรป รวมทั้งส่งออกสู่ตลาดสากลอื่นๆ ด้วย
นอกจากจะเป็นพี่บิ๊กในธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังแล้ว ต่อมา คุณเฉลิม อยู่วิทยา ก็ได้บุกเบิกธุรกิจน้ำเมาขึ้นอีกธุรกิจในนามของบริษัท สยามไวน์เนอรี่ จำกัด ซึ่งหนึ่งในสินค้าน้องใหม่ที่น่าจับตาก็คือ ไวน์ไทย มอนซูน แวลลี่ย์ ที่ผลิตจากไร่องุ่น “หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด” ไร่องุ่นหนึ่งเดียวในบริเวณบ้านคอกช้าง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่แต่เดิมเป็นพื้นที่ที่เคยเป็นไร่สัปปะรดซึ่งมีช้างป่าเอเชียอาศัยอยู่ จนสยามไวน์เนอรี่เข้ามาพัฒนาเป็นฐานการเพาะปลูกพันธ์องุ่นชั้นดี เริ่มต้นจากพื้นที่เล็กๆ เพียง 50 ไร่ ในปี พ.ศ. 2547 จนปัจจุบันไร่องุ่นแห่งนี้เติบโตครอบคลุมพื้นที่กว่า 250 ไร่ และจะขยายพื้นที่ต่อไปอีกจนครบ 1,000 ไร่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ครั้งแรกกับ Agro – Tourism ในหัวหินในวันที่ TCDCCONNECT ไปเยี่ยมชมหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด สายลมและไอแดดอ่อนพัดมาอย่างไม่ขาดสาย ผ่านมาตามเถาองุ่นสีเขียวน้อยใหญ่ที่กำลังรอวันผลิดอกออกผล เสียงฝีเท้าของไกด์เฉพาะกิจร่างใหญ่ใจดี ค่อยๆ ลัดเลาะไปตามแปลงองุ่นที่ทอดตัวท่ามกลางขุนเขาสุดลูกหูลูกตา สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ของการมาเที่ยวหัวหินอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (หรือ Agro – Tourism) นี้ โครงการ หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด นับเป็นไร่องุ่นครบวงจรแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของเมืองชายทะเลหัวหิน ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับทุกขั้นตอนของการผลิตไวน์ไทย เริ่มมากกระโดดขึ้นบนหลังช้างลัดเลาะไปในไร่องุ่น ชมการปลูกองุ่น การหมัก การบ่ม และการชิมไวน์ประเภทต่างๆ อย่างครบถ้วน (ว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากทริปท่องเที่ยวชิมไวน์ในยุโรปตอนใต้หรือออสเตรเลีย เว้นแต่ว่าที่หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ผู้มาเยี่ยมเยือนจะได้สัมผัสกับประสบการณ์พิเศษสุดบนหลังช้างด้วย)

คุณเฉลิม อยู่วิทยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทสยาม ไวเนอรี่ จำกัด กล่าวว่า “การเปิดไร่องุ่นหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ของสยามไวเนอรี่ในวันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมการดื่มไวน์ในประเทศไทยให้แพร่หลาย โดยเรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสเปิดบ้านของเราให้นักท่องเที่ยวได้ชมถึงแหล่งที่มาขององุ่นที่เราใช้ผลิตไวน์ไทยมอนซูน แวลลีย์ และเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ที่สามารถเพาะปลูกองุ่นคุณภาพดีในเขตร้อนได้
นอกจากนั้น เรายังรู้สึกภูมิใจที่สามารถช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้อีกทาง นอกเหนือจากทะเลและชายหาดซึ่งเป็นที่นิยมอยู่แล้ว” การท่องเที่ยวเชิงเกษตรนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อผลักดันให้นักท่องเที่ยวเกิดจิตสำนึกด้านบวก ตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการธรรมชาติ พร้อมทั้งเห็นคุณค่าของผลผลิตการเกษตรเหล่านั้นมากขึ้น
แต่หากจะมองกันในมุมของธุรกิจ Agro – Tourism ก็คือ เครื่องมือชิ้นเยี่ยมทางการตลาด ที่ผู้ประกอบการและผู้ผลิตสินค้าประเภทอาหาร-เครื่องดื่มทั่วโลกนิยมใช้กันในการสร้างแบรนด์และเพิ่มมูลค่าสินค้า สำหรับเจ้าพ่อกระทิงแดงต้นตำรับ “ชิมก่อนซื้อ” คนนี้ Agro – Tourism ในหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด น่าจะเป็นภาคหนึ่งของกลยุทธ์ Experiential Marketing ที่เปิดช่องให้ผู้บริโภคได้ “ลองสัมผัส “ กับสินค้าของเขาก่อนเช่นเดิม ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำสำเร็จมาแล้วกับ “กระทิงแดง” เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน

ทุนนิยมที่เป็นมิตรมากขึ้นอย่างไรก็ดี การรุกล้ำเข้ามาของเงินทุนก้อนใหญ่และระบบ “เกษตรอุตสาหกรรม” ที่แผ่ขยายอย่างรวดเร็วในบริเวณบ้านคอกช้างนั้น แน่นอนว่า ต้องสร้างผลกระทบกับชุมชนและสภาพแวดล้อมดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ไม่ว่าจะต่อวิถีชีวิต การทำมาหากินของผู้คน หรือต่อระบบนิเวศแวดล้อม เช่น พืชพันธ์ที่เคยมีตามธรรมชาติ และฝูงช้างป่าเอเชียที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น) ด้วยแรงกดดันทางสังคม และนโยบายเชิงเศรษฐกิจต่างๆ ที่หักมุมไปจากทศวรรษก่อน นี่คงเป็นโจทย์ข้อใหญ่สำหรับธุรกิจยุคนี้ที่จะต้องแก้ให้ตก “คุณจะใช้โมเดลอะไรขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้โดยปราศจากเสียงก่นด่า?”
บริษัทสยามไวน์เนอรี่ดูจะตระหนักถึงอุปสรรคข้อนี้ดี การสร้างอาณาจักรหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ครั้งนี้ จึงต้องเป็นไปอย่างรอมชอมและเป็นมิตรกับชาวบ้านช้างให้มากที่สุด เริ่มจากการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมเศรษฐกิจของท้องถิ่นโดยรอบ เปิดโอกาสให้คนในชุนชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการพัฒนาธุรกิจทั้งในระบบการเกษตรและการท่องเที่ยว อาทิเช่น นำช้างและคนงานที่มีอยู่แต่เดิมในพื้นที่มาร่วมงาน (ร่วมสร้างรายได้) กับทางไร่องุ่น โดยมองว่าเป็นการกระจายรายได้ของธุรกิจกลับคืนสู่ชุมชนในทางหนึ่ง
ด้วยวิสัยทัศน์และแนวคิดนอกกรอบของคุณเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าพ่อกระทิงแดง/เศรษฐีนักธุรกิจระดับเซียนคนนี้ เราคงต้องคอยดูกันต่อไปว่า หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ได้ก้าวเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่
ไวน์ไทยละติจูดใหม่… ท่องเที่ยวเชิงเกษตร… ช้างป่าในไร่องุ่น…
“ใช่” หรือ “ไม่ใช่” สำหรับตลาดยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ น่าติดตาม
huahinhub Thanks

12.21.2552

| กระตุ้นความคิด ๑๓๑ (ดัง..ความเห็น)


เสียงเงียบที่ดังกึกก้อง
โดย : ชณ เศรษฐสาคร
ช่วงมหกรรมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นค่อนข้างชัด นับตั้งแต่วินาทีที่หน้าข่าวบนเว็บไซต์รายงานผลการแข่งขันฟุตบอลชายที่ชาติไทยเราโดนเสือเหลืองมาเลเซียเขี่ยตกที่นั่ง "ราชาลูกหนังแห่งอุษาคเนย์" (ที่คนกลุ่มหนึ่งคิด และพยายามสร้างภาพให้คนไทยคิดตาม) ร่วงในรอบแรกไปด้วยสกอร์ 2-1 กระทู้สรรเสริญเยินยอจากทั่วทุกสารทิศก็ทยอยแปะต่อท้ายข่าวอย่างไม่ขาดสาย

เกลี่ยสายตาดูทั่วๆ บรรดาเว็บไซต์ดังๆ ในชุมชนไซเบอร์สเปซนั้นมีความเห็นหลังข่าวนี้ไม่ต่ำกว่า 100 คอมเมนท์อันที่จริง การแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์มีมาตั้งแต่คนเราเริ่มทำความรู้จักกับอินเทอร์เน็ต เว็บบอร์ดก็กลายเป็นแหล่งรวบรวมความเห็นจากผู้คนในแวดวงต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ความสนใจเดียวกัน ซึ่งอาจถือว่า นี่เป็นเค้าโครงของโซเชียลเน็ตเวิร์ครุ่นแรกๆ ของยุคดิจิทัล

ทั้งเหตุบ้านการเมือง ไปจนถึงสารทุกข์สุกดิบ ก็พากันมากระจุกรวมกันบนพื้นที่เหล่านี้ เนื่องจากความที่สังคมระบบเลขฐานสองเปิดเสรีอย่างเต็มที่ อีกทั้งไม่ต้องแสดงตัวตนบนโลกนอกจอให้เห็น คุณสมบัติข้อนี้จึงทำให้โลกออนไลน์ทวีความนิยมขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงลักษณะเฉพาะออกไป แต่ถึงอย่างนั้นความน่าเชื่อถือก็ยังคงขีดกรอบให้เรื่องบอกเล่าต่างๆ กลายเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มอยู่

กระทั่งวันนี้ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับตานอนชีวิตคนเรา (โดยเฉพาะพวกที่ได้ชื่อว่าคนเมือง) ผูกติดกับคอมพิวเตอร์อย่างชนิดที่แยกกันไม่ออก ลูกเล่น หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้เราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีมากขึ้น การเกิดขึ้นของ โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง ไฮไฟ เฟซบุ๊ค หรือกระทั่งไมโครบล็อกอย่างทวิตเตอร์ ก็ยิ่งช่วยให้คนเราแสดงออกได้ง่ายขึ้น

อีกทั้งความน่าเชื่อถือของสิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์ที่เคยถูกตั้งคำถามวันนี้ได้มลายหายไปส่วนใหญ่แล้ว ข่าวร้อนหลายข่าว ประเด็นดังๆ หลายประเด็น รวมทั้งปรากฏการณ์ทางสังคมใหญ่ๆ หลายครั้งเริ่มมีต้นธารมาจากโลกไซเบอร์มากขึ้น เว็บบอร์ดหลายเว็บกลายเป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนจนแปรสภาพไปเป็นสถาบันที่มีน้ำหนักในการใช้อ้างอิงได้ไปโดยปริยาย

ความแข็งแรงที่เกิดขึ้นของเสียงบนโลกเสมือนที่มักดังเข้ามากระแทกหู (บางครั้งก็แทงถูกใจดำๆ ของใครหลายๆ คน) ผู้คนบนโลกจริง นั่นก็เพราะสิ่งที่ปรากฏเป็นความเห็นตรงหน้าจอนั้น ส่วนใหญ่มาจากความรู้สึกล้วนๆ ไม่ได้มีความหมายแฝง ซึ่งปัจจุบันประเด็นนี้ก็ถูกตั้งคำถามย้อนกลับไปยังโลกไซเบอร์โดยผู้คนบนโลกจริงเช่นกัน ผิดกับสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่อาจถูกความสงสัยว่าเล่นพรรคเล่นพวกเคลือบเอาไว้อยู่ได้ เคสซีเกมส์เมืองเวียงจันทน์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอีกเช่นเคย เสียงก่นด่าเกิดขึ้นมากมายหลังจากฟุตบอลทีมชาติไทยพลาดอะไรต่ออะไร ขณะที่ความเคลื่อนไหวบนหน้ากระดาษทำหน้าที่เพียงรายงานความเคลื่อนไหว (อาจมีวิพากษ์บ้างพองาม) แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ

ไม่แน่ว่าต่อไปในอนาคต เราอาจต้องมานั่งมองกันใหม่ก็ได้ว่า ตั้งแต่กรณีน้องอุ้ม ณ เมืองคานส์ นาธาน โอมาน ผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลทีมชาติไทย และกรณีอื่นๆ กรณีแล้วกรณีเล่า ที่เป็นประเด็นร้อนออนเน็ตนั้น จะกระแทกเข้าสู่ส่วนไหนของสังคม ให้กลายเป็นเสียงเงียบที่ดังกึกก้องต่อไป
huahinhub Thanks กรุงเทพธุรกิจ

12.15.2552

| หัวหินประดามี ๓๐ (พาเหรดรถโบราณ)




โซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์รีสอร์ทและวิลล่า หัวหิน ร่วมกับสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย จัดงานเทศกาลพาเหรดรถโบราณเมืองหัวหิน ครั้งที่ 7

เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์รถโบราณที่นับวันจะหาชมได้ยาก และให้ความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการและมรดกด้านรถยนต์ของประเทศไทย เพื่อนำรายได้สมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา

กิจกรรมภายในงานในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ จะเป็นการนำรถโบราณและรถคลาสสิกจำนวน 50 คันร่วมในขบวนพาเหรด โดยจะเคลื่อนตัวจากหน้าโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ผ่านอุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านสภาลัย (อุทยาน ร.2) อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อสักการะพระบรมรูปฯ

จากนั้นเดินทางผ่านจังหวัดเพชรบุรี เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยว และสู่อำเภอหัวหิน แวะศูนย์การค้าหัวหินมาร์เก็ตวิลเลจ เพื่อร่วมพิธีเปิดอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ความยาว 50 เมตร โดยเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวได้มีโอกาสชิมอาหารกว่า 100 รายการ จากฝีมือปรุงจากพ่อครัวระดับมืออาชีพจากโรงแรมต่างๆ ในกลุ่มสมาชิกของหัวหินโฮเท็ลลิเออร์คลับ

ส่วนวันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม ผู้เข้าร่วมขบวนพาเหรดรถโบราณ จะเดินทางไปศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี อำเภอปราณบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งมีการพัฒนาแปลงปลูกป่าโกงกางในบริเวณพื้นที่นากุ้งเก่า เพื่อให้กลับมาอุดมสมบูรณ์และสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากพื้นที่เสื่อมโทรมได้ โดยศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลน เป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้พื้นที่ที่ถูกทำลายแห่งแรกของประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมนั่งรถโบราณชมเมืองหัวหิน เพื่อการกุศล และปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์เพื่อการกุศล ภายในงานมีการประมูล การประกวดการแต่งกายย้อนยุค
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub thanks

| กระตุ้นความคิด ๑๓๐ (พลังงานฟางข้าว)


สร้างพลังงานทดแทนจากฟางข้าว
โดย : บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE)

ปัญหาอย่างหนึ่งของเกษตรกรในการทำนา คือการจัดการกับฟางข้าวภายหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งแม้ปัจจุบันฟางข้าวจะสามารถนำไปใช้ประโยชนได้หลากหลาย เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ยหมักชีวภาพ แต่ด้วยภาวะเร่งรัดในการทำนาครั้งต่อไป การเผาฟางจึงกลายเป็นทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด
แม้ว่าเกษตรเองจะไม่อยากเผาฟางก็ตาม หากแต่ว่าผลกระทบที่ตามมานั้น ไม่เพียงความร้อนที่เกิดจากการเผาจะทำลายธาตุอาหารในดิน และได้ผลผลิตคุณภาพไม่ดีแล้ว การเผาฟางยังเป็นการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศอีกด้วย
ทั้งนี้ จากข้อมูลการสำรวจจากกรมควบคุมมลพิษ พบว่าพื้นที่ที่มีการเผา
ฟางข้าวมากที่สุดในประเทศไทยมีถึง 13 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคกลาง เช่น ชัยนาท ลพบุรี สุพรรณบุรี อยุธยา และอ่างทอง เป็นต้น
น.ส.ไตรทิพย์ สุรเมธางกูร นักศึกษาปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (
JGSEE) กล่าวว่า ปัจจุบันแนวทางหนึ่งในการจัดการฟางข้าวที่น่าสนใจ คือการนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทน โดยการสนับสนุนของภาครัฐในการใช้ชีวมวลเพื่อทดแทนพลังงานจากฟอสซิล
ในหลายประเทศเริ่มมีการใช้
ฟางข้าว(rice straw) และฟางข้าวสาสี(wheat straw)เป็นเชื้อเพลิงของหม้อต้มไอน้ำในการผลิตความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้าพลังไอน้ำบ้างแล้ว เช่น ประเทศเดนมาร์ก อังกฤษ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น

ขณะที่ประเทศไทยมีความพยายาม ในการนำ
ฟางข้าวมาใช้ประโยชน์ในรูปพลังงานมาก แต่ยังประสบความสำเร็จไม่มากนัก เนื่องจากฟางข้าว เป็นชีวมวลที่มีค่าความร้อนต่ำ อีกทั้งยุ่งยากในการเก็บเกี่ยว และมีค่าขนส่งที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเศษวัสดุจากอุตสาหกรรมที่กำลังใช้กันอยู่ เช่น แกลบ เศษไม้ เปลือกปาล์ม ส่งผลให้ฟางข้าวกว่า 50 %ต้องถูกเผาทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น เพื่อหาเทคโนโลยีที่นำฟางข้าวไปใช้อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกิดประโยชน์ที่ได้ผลคุ้มค่าต่อการลงทุน อันจะช่วยหยุดสร้างมลพิษจากการเผาฟาง และได้แหล่งพลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น จึงได้ศึกษานโยบายเกี่ยวกับการนำฟางข้าวมาผลิตพลังงานในประเทศไทย ด้วยการประเมินความเป็นไปได้ใน 4 ด้าน คือ
1. ศักยภาพของทรัพยากรที่สามารถนำออกมาใช้ได้จริง
2. ความเหมาะสมของประเภทและขนาดของเทคโนโลยีกับศักยภาพของทรัพยากรที่มีอยู่
3.ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งในแง่ของผู้ลงทุนและสังคมรวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ และ
4. สิ่งแวดล้อม โดยเสนอแนวทางของนโยบายที่ภาครัฐควรจะสนับสนุน

“ผลจากการประเมินพบว่า ฟางข้าวมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนได้ ด้วยการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงของหม้อต้มน้ำอุตสาหกรรมในโรงงานจะมีศักยภาพมากว่าการผลิตกระแสไฟฟ้า และเสนอให้รัฐสนับสนุนการใช้ฟางโดยการให้เงินสนับสนุนต่อปริมาณฟางที่ใช้ 300-340 บาทต่อกิโลกรัม (แทนที่จะสนับสนุนต่อหน่วยกระแสไฟฟ้าที่ขายให้การไฟฟ้าฯ) เพื่อเปิดโอกาสให้นำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ด้วย
เงินสนับสนุนนี้คำนวณโดยคำนึงถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อม ที่ไม่ต้องจ่ายหากเราหยุดเผาฟางได้
สำหรับการนำไปใช้ก็สามารถทำได้ทันที เพราะในภาคกลางยังมีโรงงานที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมันเตา ถ่านหิน สำหรับหม้อต้มน้ำอุตสาหกรรมจำนวนมาก ซึ่งหากเป็นถ่านหินผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนมาใช้ฟางข้าวได้ทันที แต่ถ้าเป็นน้ำมันเตาก็เปลี่ยนเพียงหัวเตาเท่านั้น
ในส่วนการประเมินความคุ้มทุนนั้นพบว่า ฟางข้าวจะต้องมีราคาต่ำกว่า 860 บาทต่อตัน ซึ่งวิธีการลดต้นทุนที่ทำได้เลยในขณะนี้คือ ให้เกษตรเก็บฟางข้าวเป็นก้อนสี่เหลี่ยมไว้ข้างนา โดยอัดให้แน่น(ประมาณ 18-20 กก.ต่อฟ่อน) ด้วยเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้กันแพร่หลายอยู่แล้ว จากนั้นผู้ประกอบการส่งรถพ่วง 2 ตอน มารับซื้อจากนาโดยตรง และเตรียมความพร้อมของฟางก่อนป้อนเข้าเตาเผาด้วยการสับให้ชิ้นเล็กลง

ส่วนในอนาคตเสนอให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกษตรกรเก็บฟางข้าวให้อยู่ในรูปแบบของเชื้อเพลิงอัดแท่งได้ทันที่ทุ่งนา เพื่อให้บรรทุกได้ในปริมาณมากขึ้นในพื้นที่เท่ากัน ซึ่งนอกจากจะลดจำนวนเที่ยวและประหยัดค่าการขนส่งแล้ว ยังนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ทันทีโดยไม่ต้องสับ แต่ทั้งนี้ยังต้องอาศัยการผลักดันจากภาครัฐในการพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่อไป

น.ส.ไตรทิพย์ กล่าวว่า การใช้ฟางเป็นเชื้อเพลิงทดแทนเชื้อเพลิงจากฟอสซิล นอกจากจะช่วยให้หยุด ”มลพิษทางอากาศ” ได้แล้ว ยังได้ “พลังงาน” และ “ลดโลกร้อน” ด้วย ซึ่งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตรงนี้ จะนำไปขายกับประเทศที่มีพันธกิจการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้การตกลงในพิธีสารเกียวโต ปัจจุบันในตลาดโลกมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism : CDM) บ้างแล้วในหลายประเทศ ภาครัฐควรมีการสนับสนุนโครงการCDM เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรด้วย

อย่างไรก็ดีปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ปัจจุบันโรงสีข้าวและโรงน้ำตาลเริ่มนำแกลบและกากอ้อยไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดย่อมของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้ชีวมวลเหล่านี้เริ่มมีราคาแพงและขาดแคลนมากขึ้น

ดังนั้น ชีวมวลที่ไม่ได้ใช้ทั้ง ฟางข้าว ใบอ้อย ยอดอ้อย ลำต้นข้าวโพด ล้วนเป็นชีวมวลทางเลือกใหม่ ที่จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในภาวะขาดแคลนพลังงานในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thanks

| กระตุ้นความคิด ๑๒๙ (หนึ่งผลิตภัณฑ์ หลายตำบล)




หนึ่งผลิตภัณฑ์ หลายตำบล
โดย : วิภานี กาญจนาภิญโญกุล

วาสนา ปันยารชุน ผู้ปลุกปั้นของตกแต่งบ้าน แบรนด์ 'นายขวัญเมือง'
สบู่สมุนไพรหอมนุ่มน่าใช้ฝีมือเธอ
หากเมื่อย้อนเวลากลับไป เมื่อ 4-5 ปีมาแล้ว วาสนา ปันยารชุน เป็นคนแรกๆ ที่เริ่มนำผ้าท้องถิ่น ของใกล้ตัวที่ผู้คนมองข้ามไปมาใช้เป็นวัสดุในการสร้างสรรค์ ช่วยเปลี่ยนหมอนสามเหลี่ยมหน้าตาโบราณให้ดูไฉไล มีคาแรคเตอร์ขึ้นมา ยังไม่รวมถึงผ้าห่มสีสดใสเย็บมือทั้งผืน เบาะรองนั่งหน้าตาเก๋ไก๋ ที่ผ่านการดั้นด้นเสาะหาทั้งวัตถุดิบและช่างฝีมือทั่วประเทศให้มารวมตัวกันอยู่ในผลงานเพียงชิ้นเดียว
ผู้หญิงร่างเล็กผิวแทน กระฉับกระเฉง แลดูอ่อนเยาว์เกินกว่าจะอายุสี่สิบปลายๆ คนนี้ก็คือเจ้าของไอเดียในการเนรมิตคิดค้นและปลุกปั้นสินค้าตกแต่งบ้านที่อบอวลไปด้วยกินอายท้องถิ่นภายใต้ชื่อ 'นายขวัญเมือง' ให้เป็นที่รู้จักกันทั้งตามหน้านิตยสารตกแต่งบ้านที่มักจะนำสินค้าของเธอไปแนะนำอยู่เนืองๆ ตลอดจนผู้คนทั่วไปที่ชื่นชอบผลงานแนวนี้

เธอย้อนเวลาให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาทำกิจการเล็กๆ ของตัวเอง เธอเคยทำงานออฟฟิศอยู่ถึง 20 ปีเต็ม แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนช่วงฟองสบู่แตก ปี 2540 ในขณะที่เธออายุราว 35 ปี
“ตอนนั้นต้องชั่งใจว่าจะทำงานประจำต่อ หรือทำงานของตัวเองดี เราก็คิดว่า ถ้าเราทำงานประจำต่อไป เราคงต้องทำงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าแก่กว่านี้กว่าจะออกจากงาน เราคงไม่กล้าทำธุรกิจแล้ว ก็เลยออกมาทำเลย”

แต่ร้านเริ่มแรกของนายขวัญเมืองกลับเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์เก่าย่านทองหล่อที่เธอได้สั่งสมประสบการณ์และความชอบสมัยที่ช่วยพี่สาวทำร้านเฟอร์นิเจอร์ในขณะที่ยังทำงานประจำอยู่ ทำอยู่ได้ 2 ปี อะไรๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ไหนจะจมทุน ไม่มีลูกค้า ประกอบกับอาการเบื่อหน่ายที่ต้องมานั่งเฝ้าร้านอ่านหนังสือทั้งวัน ในขณะที่เดิมเธอเป็นเลขานุการสาวสุดแอคทีฟที่คอยติดตามเจ้านายฝรั่งทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา

สินค้าตัวแรกที่ผ่านมือเธอจริงๆ จึงเกิดขึ้นตามมา นั่นก็คือ 'ธูปหอม' ที่มีจุดเด่นตรงการใช้สมุนไพรแท้ๆ ในการทำและมีกลิ่นหอมที่ปรุงเองกับมือ ซึ่งวางขายในร้านใหม่ที่สวนจตุจักรหลังปิดร้านเดิมไปด้วยอาการขาดทุนอย่างแรง

และภายในพื้นที่ร้านเพียงไม่ถึง 10 ตารางเมตรนี่เอง ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตัวเธอได้มากกว่าร้านหรูกลางใจเมือง “เราอยากขายของที่ตัวเองมีกิจกรรมทำ ได้ตระเวนไปนู่นมานี่ ได้ทำเอง ได้เคลื่อนไหว เพราะเราเป็นคนชอบทำอะไรด้วยตัวเอง”

ผลิตภัณฑ์ที่ทยอยออกมาในช่วงหลัง จึงผ่านการเดินทางทั่วสารทิศของผู้หญิงชอบเที่ยว และแวะไปเรื่อย จนกลายมาเป็นที่มาของสินค้านานาชนิดในร้าน อาทิ ผ้านวมผืนสวยต้องไปเย็บที่ลำพูน เพราะฝีมือดี ส่วนฝ้ายต้องซื้อจากเชียงคาน (เท่านั้น) มายัดไส้ผ้านวม หรือ หมอนขิด (หมอนสามเหลี่ยม) ซื้อผ้าถุงหลายไม่เหมือนใครมาจากร้านเล็กๆ เจ้าประจำทางภาคใต้ก่อนจะมาเย็บที่ยโสธรด้วยฝีมือของช่างท้องถิ่นที่คุ้ยเคยฝีมือกันดี ฯลฯ

เรียกว่า กว่าจะได้ของออกมาแต่ละชิ้นก็ต้องไปมากกว่า 1 จังหวัด ซึ่งดูเหมือนจะเหนื่อยและไม่คุ้มเท่าไหร่นัก หากมองว่าสินค้าในร้านนั้นไม่แพงอย่างที่คิด เริ่มตั้งแต่สบู่ทำมือราคา 60 บาท ไปจนถึงผ้านวมด้นมือทั้งผืนราคา 4,500 บาท “เราทำเพราะเราชอบ ไม่ได้ทำเพราะเห็นคนอื่นทำแล้วขายได้ อะไรที่ไม่ถนัด เราก็ไม่ทำ ไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ"

ผู้หญิงร่างบางคนนี้จึงขับรถกระบะคู่ใจ ไปมาแล้วเกือบทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย โดยแบ่งเวลาของเธอในช่วงวันธรรมดาอยู่ที่การออกแบบ คิดแบบ ทำสินค้าเอง (บางอย่าง) หรือไม่ก็ไปหากลุ่มแม่บ้านตามจังหวัดต่างๆ ส่วน ศุกร์-เสร์-อาทิตย์ อยู่ประจำขายของที่จตุจักร

ด้วยความที่สินค้าในร้านมีความเป็นเอเชียสูง ลูกค้ากว่า 80 เปอร์เซนต์ของร้านจึงเป็นชาวต่างชาติ ที่เหลือเป็นคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งชื่นชอบงานสไตล์นี้ ดังนั้นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวจึงเป็นช่วงที่ร้านมียอดขายสูงถึงเดือนละ 2 แสน จากการขายเพียง 8 วันที่นี่ที่เดียวสาขาเดียว แต่ความฝันของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งยังไม่หยุดเท่านี้

"ทุกวันนี้ก็มีความสุขดี แต่ยังไม่พอ (หัวเราะ) ยังอยากมีร้านกาแฟเล็กๆ ชงเอง ล้างเอง อยู่ใกล้ภูเขา เพราะเราคิดว่า วันหนึ่งเราก็ต้องเลิกทำตรงนี้ เพราะอายุเยอะขึ้น ไฟหมด ขนของไม่ไหว ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำตลอดไป"
การเปลี่ยนแปลงจึงถือเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิต และเมื่อท่วงทำนองชีวิตเดินไปถึงจุดนั้น ที่เหลือก็แค่ทำความเข้าใจและใช้ชีวิตต่อไปในแบบของตัวเอง
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thanks

| สร้างสรรค์วัฒนธรรมและสังคมเมือง ๑๓๐ (ขยะ+ความคิด=สังคมดี)





ขยะที่ใครต่อใครต่างมองว่าเป็นสิ่งสกปรก ไร้ค่า และไม่น่าจับต้อง วันนี้สิ่งของเหลือใช้เหล่านั้น จะไม่น่าขยะแขยงอีกต่อไป-->
เมื่อมีการบูรณาการความรู้ บวกกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคดิจิทัล ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป ขยะที่ไร้ค่าก็กลายเป็นสิ่งของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์สวยงาม และสามารถเป็นสนามเด็กเล่นเกรดเอของเด็กๆ ได้

เช่นเดียวกับน้องๆ เยาวชนจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่นำเอาขยะ และเศษวัสดุเหลือใช้ต่างๆ มาประยุกต์เป็นสนามเด็กเล่น โดยผนวกองค์ความรู้จากตำรา ใส่ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการลงไป จนถ่ายทอดผลงานออกมาได้อย่างสวยงาม ส่งมอบความสุขให้กับเด็กๆ ในชุมชนวัดมะกอก และชุมชนจารุรัตน์
เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายฝ่าย อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด จัดโครงการโรงเรียนเครือข่ายเชฟรอน พลังใจ พลังคน เพื่อสนับสนุนโรงเรียนในการจัดการสิ่งแวดล้อมและได้ร่วมรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปได้มามีส่วนร่วมในการลดขยะด้วยวิธีง่ายๆ และสร้างสรรค์ อันเป็นที่มาของการสร้างสนามเด็กเล่นจากเศษวัสดุเหลือใช้ในครั้งนี้นั่นเอง

“เราเชื่อว่าพลังคนเป็นพลังที่สามารถพัฒนาและสร้างสรรค์สังคมได้อย่างยั่งยืน และเราเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมหันมามีแนวความคิดใหม่ว่า การช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาขยะนั้น ทำได้ไม่ยากเลย แค่เพียงทุกคนเริ่มแยกขยะและนำส่วนที่ใช้ได้ไปรีไซเคิล ก็เป็นการช่วยได้แล้ว” หทัยรัตน์ อติชาติ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านรัฐกิจและกิจการสัมพันธ์ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าว
ด้าน หมูตู้ - กวิน ประตูมณีชัย นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี บอกว่า รู้สึกภูมิใจและดีใจมากที่ได้เห็นเด็กๆ ตื่นเต้นกับเครื่องเล่นต่างๆ ที่เพื่อนๆ มจธ. ร่วมกันสร้างจนกลายเป็นสนามเด็กเล่น “เพลินกราวน์” ให้กับชุมชนจารุรัตน์
“การทำงานของเราเริ่มต้นจาก concept นำก่อนครับ แล้วก็มีแบบคร่าวๆ ดูเป็น idea ซึ่งแรกๆ อาจจะดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง เพราะว่าการทำงานนี้ เราตั้งใจเพราะไม่อยากปิดกั้นจินตนาการวัสดุรีไซเคิล ดังนั้นพอของมาอยู่ตรงหน้า ความคิดจะโลดแล่นทันทีครับ เช่น ท้ายรถปิกอัพแปลงได้เป็นยานอวกาศ ชิ้นนี้ น้องๆ ชอบกันมาก ซึ่งการออกแบบของเรานั้นเน้นการที่ทำให้ "ขยะไม่ใช่ขยะ" เพราะว่าสนามเด็กเล่นเป็นของสำหรับเด็ก อันตรายไม่ควรมีเป็นอันขาด เราจึงออกแบบให้ทุกอย่างดูใหม่ คงทน และเหมาะสมที่สุด เพราะความไว้วางใจจากผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ เครื่องเล่นดูน่าเชื่อถือให้ลูกๆ เล่นได้อย่างเต็มที่ครับ”

"เพลินกราวน์" มีเครื่องเล่น 4 ชนิด ได้แก่ อุโมงค์ที่เตรียมพร้อมเข้าสู่เครื่องเล่น, ตัวแม่สี, เกมในการทรงตัว และยานอวกาศ ซึ่งเครื่องเล่นทั้งหมดที่ออกแบบ อาณัตน์ จะรคร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี บอกว่า อิงจากพื้นฐานด้าน IQ EQ และ MQ คือ ความฉลาดทางสติปัญญา ความฉลาดทางอารมณ์ และความฉลาดในด้านศีลธรรม ซึ่งจะแทรกซึมเข้าไปอยู่ในเครื่องเล่นแต่ละชนิด

"อย่างเช่นอุโมงค์ที่จะมีทางเข้าออกหลายทาง เวลาเด็กเล่นก็จะทำให้เด็กได้มีการเรียนรู้และตัดสินใจ เวลาที่เข้าไปเจอเพื่อนสวนทางออกมา เด็กๆ จะได้คิดว่าเขาควรจะหลีกทางให้เพื่อนก่อนอะไรทำนองนี้ ก็จะทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงการอยู่ในสังคมที่ดี มันเป็นอะไรที่แฝงอยู่ที่เราไม่ได้ตั้งใจบอก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นมากต่อสนามเด็กเล่น"

สำหรับเพื่อนต่างสถาบันอย่าง อ๊อฟ-อรรถพงศ์ ฟูเฟื่อง นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ บอกว่า สนามเด็กเล่นที่เขาและเพื่อนๆ ร่วมกันสร้าง เรียกว่า “กรีน แพลนเน็ต ฟอร์คิดส์” ประกอบไปด้วย ถ้ำเมืองมะกอก, ภูเขาผู้พิชิต, บ้านต้นไม้, โยกเยกขาเดียว, เสียงเรียกจากดอกไม้, ราชามด

“โจทย์ที่ว่าเป็นขยะและวัสดุเหลือใช้ มาทำเป็นสนามเด็กเล่น เป็นเรื่องที่ท้าทายครับ และดีมากในแง่ของวัสดุที่บางทีเราคิดไม่ออก ผมว่าโจทย์นี้ดีมาก พอรูปแบบแบบนี้เผยแพร่ออกไปคนก็จะหวนกลับมาคิดว่า เออ...มันไม่ได้ไร้ค่าแบบนั้น ยางรถต้องนำไปเผาหรือทำลายอันนี้ก็ไม่ใช่ แล้วจริงๆ สามารถที่จะเอาไปจัดการในเรื่องของสิ่งแวดล้อมอื่นได้อีก อย่างยางรถในพื้นที่ห่างไกลที่เขาเกิดปัญหาการกัดเซาะของตลิ่ง ป้องกันแนวทำเป็นเขื่อนยาง มันสามารถออกแบบไปใช้งานได้อีก ซึ่งเรื่องวัสดุรีไซเคิลเหมาะกับการที่จะเผยแพร่และทำให้คนสนใจ ถ้าเอามาประยุกต์ได้มันเกิดประโยชน์มากขึ้นกว่าที่เป็นขยะ”

เห็นอย่างนี้ใครจะคิดว่าขยะหรือวัสดุเหลือใช้ต่างๆ ที่หลายคนมองว่าหมดคุณค่า แต่หากมีการนำเอาขยะเหล่านั้นมารีไซเคิล และนำไปประยุกต์สร้างสรรค์ให้เกิดเป็นสิ่งต่างๆ ขยะที่เราเหยียบย่ำก็อาจมีประโยชน์ และสร้างคุณค่ามหาศาลได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thanks

7.07.2552

| หัวหินประดามี ๒๒ (สะบายดี สบายแฮ)


บ้านศิลปินหัวหิน ขอเชิญท่านผู้ชื่นชอบศิลปะและมีใจรักในงานศิลป์ชมนิทรรศการศิลปะชุด 'สะบายดี สบายแฮ' โดย ศิลปิน '3P'จากกลุ่มศิลปินเมืองหัวหิน ณ บ้านศิลปินหัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตลอดเดือนกรกฎาคม ศกนี้ นิทรรศการศิลปะครั้งนี้เป็นการรวมตัวของสามศิลปินหนุ่มไฟแรง ได้แก่ ดนย บุญทัศนกุล (ป๋อง), สหัชณัฐ เถกิงกร (โป้) และเวชยันต์ อุณหสุวรรณ (เป๊กโก้) ซึ่งล้วนเป็นสมาชิกของกลุ่มศิลปินเมืองหัวหิน โดยได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3

oooo
คราวนี้ศิลปินสามหนุ่มได้รวบรวมผลงานศิลปะที่ดูสบายๆ ไม่มีกำหนดวิธีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกผ่านเทคนิคงานศิลป์ให้มีความหลากหลายตามสไตล์ความถนัดของตนเอง อาทิ ภาพเขาแผงม้า ภาพสู่สันติภาพ ภาพอดีตฉันมีสุข และภาพอื่นๆ อีกกว่า 60 ภาพ เพื่อให้ท่านได้ซึมซับงานศิลป์ได้เต็มอิ่มในบรรยากาศแบบสบายๆ
oooo

พิธีเปิดนิทรรศการจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม 2552 เวลา 19.00 น. และเชิญชมนิทรรศการฟรีได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 17.00 น. (ยกเว้นวันจันทร์) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาโทร.081-494-4047, 081-666-3662
o
ขอบคุณข้อมูลจาก กกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thanks
ooo

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๒๙ (คอร์สจิตวิญญาณแห่งผืนดิน)


oo
oo
oo
โจน จันได-วิจักขณ์ พานิช ชวนผู้สนใจเข้าคอร์สเรียนรู้การใช้ชีวิตเรียบง่าย สัมผัสจิตวิญญาณแห่งผืนดิน ณ ศูนย์การเรียนรู้พันพรรณ จ.เชียงใหม่
oo
“ชีวิตจริงๆ ก็คือชีวิตที่เข้าใจตัวเอง คือชีวิตที่เริ่มจากการขุดแปลงผัก หว่านเมล็ดลงไป เราเห็นต้นไม้ พืชผักที่เราปลูกงอกขึ้นมา เราก็ดูแลมัน แล้วก็กินมัน แล้วก็ขับถ่ายลงไป แล้วก็เอาถ่ายเป็นปุ๋ย มันวนเวียนอยู่อย่างนี้ มันทำให้เราเห็นว่า ชีวิตเราไม่ได้มีอยู่แค่นี้ ทำให้เราเข้าใจกระบวนการของชีวิตได้ลึกขึ้น ซึ่งจะทำให้เรามีความกลัวน้อยลง ความกลัวมันเกิดขึ้น เพราะเราไม่เข้าใจ แต่ถ้าเราเข้าใจความกลัว มันก็หายกลัว
oo
"เราไม่กลัวว่าจะสูญเสียอันนั้น สูญเสียอันนี้ ก็เพราะเราไม่เข้าใจว่า เราไม่ได้ครอบครองอะไรเลย เพราะเราไม่เข้าใจว่า ที่เราเห็นไม่ใช่ตัวเรา เพราะเรารู้ว่าเราปฏิบัติอย่างไรมันจึงจะถูกต้องในการดูแลตัวเอง ดูแลจิตใจ และร่างกายตัวเอง ผมถึงชอบที่จะอยู่กับดินมากกว่า เพราะผมได้อยู่กับตัวเองมาก สร้างบ้านกับดิน ปลูกผักจากดิน อยู่กับดิน ชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้”
oo
[โจน จันได] ถลกขากางเกง พับแขนเสื้อ ขยำดิน ย่ำโคลน แสวงหาคุณค่าและความหมายของ “ชีวิตง่ายๆ” ไปกับโจน จันได สามัญชนลูกอีสานที่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงของชีวิตนอกระบบการศึกษา ผ่านการปฏิบัติจริงในศูนย์การเรียนรู้พันพรรณ เรียนรู้การดูแลปัจจัยสี่ในชีวิตอย่างง่ายๆ การสร้างบ้านดิน การขุดแปลงผัก เก็บเมล็ดพันธุ์ ทำสวน ทำอาหาร พูดคุยสนทนาเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นกันเอง สร้างชุมชนกัลยาณมิตรร่วมกับธรรมชาติรอบตัวอย่างเกื้อกูล “ชีวิตง่ายๆ” จะนำเสนอพื้นฐานการภาวนาในชีวิตประจำวัน คุณค่าของการ “ออกแรง” ในฐานะหัวใจของการหยั่งรากวิถีของการภาวนาให้ติดดิน ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เรากิน อยู่ ใช้ สวม นำเสนอทางเลือกที่เรียบง่าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยความหมาย และคุณภาพชีวิตให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่
oo
ภาวนากับผืนดิน ระหว่างวันที่ 12-20 ตุลาคม 2552 โดย วิจักขณ์ พานิช (ร่วมกับ โจน จันได) สำหรับบุคคลทั่วไปไม่จำกัดอายุ รับจำนวนจำกัดเพียง 30 ท่าน บริจาคเข้าร่วมท่านละ 4,500-8,000 บาท หรือมากกว่า ตามกำลังทรัพย์
oo
การฝึกภาวนาบนฐานการตื่นรู้ในเนื้อในตัว ถือเป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสนาในทุกสายการปฏิบัติ โดยเฉพาะเทคนิคโยคะด้านในของทิเบต ที่จะนำพาผู้ปฏิบัติเปิดมณฑลของการรับรู้ในทุกๆส่วนของร่างกาย โดยที่ร่างกายเปรียบได้กับผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ เป็นสถานที่แห่งการหยั่งรากลึกของความรู้สึกตัว และการตระหนักรู้ถึงเรื่องราวอันหลากหลายของการเดินทางแห่งจิตวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความหมาย “ภาวนากับผืนดิน” ผสมผสานการฝึกภาวนาอย่างเข้มข้น เข้ากับวิถีชีวิตของชุมชนที่เรียบง่าย “ติดดิน”
ooo
กิจกรรมประกอบด้วยการนั่งสมาธิภาวนา และเทคนิคภาวนาที่หลากหลาย เพื่อเข้าไปสัมผัสพลังแห่งการตื่นรู้ในกาย สลับกับการนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ฝึกฝนกันในสายการปฏิบัติทั้งในสายเถรวาท มหายาน และวัชรยาน จากประสบการณ์ตรงของวิทยากร รวมถึงการถามตอบ พูดคุย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติของผู้เข้าร่วม ด้วยภาษาในชีวิตประจำวันที่เข้าใจง่าย ระหว่างการอบรมในแต่ละวันจะจัดให้มีกิจกรรม “ออกแรง” ร่วมกันภายในชุมชนผู้ปฏิบัติ เช่น การสร้างบ้านดิน ขุดท้องร่อง ถางหญ้า ดูแลแปลงผัก ทำอาหาร เดินป่า และอื่นๆ ในฐานะกิจกรรมแห่งสติที่ผสมผสานไปอย่างกลมกลืนกับการฝึกฝนความตื่นรู้ในเนื้อในตัว อย่างเข้มข้น
ooo
“ภาวนากับผืนดิน” นำเสนอถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณ ที่ไม่แยกขาดกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย การเป็นอยู่อย่างพอเพียง พึ่งตนเอง การฝึกใจโดยไม่แยกขาดจากการใช้แรง การดูแลปัจจัยสี่ด้วยตนเองอย่างง่ายๆ การตระหนักรู้ถึงสุขทุกข์ร่วมกับผู้อื่นในสังคม วิถีปฏิบัติอันแสนจะติดดิน “รู้เนื้อรู้ตัว” ที่พระพุทธองค์และอริยสาวกได้แสดงเป็นแบบอย่างไว้ให้กับผู้เดินตาม ที่จะทำให้เราเข้าใจพุทธธรรม ในฐานะ “จิตวิญญาณแห่งผืนดิน” ที่ซึ่งหัวใจของมนุษย์จะสามารถงอกงามได้อย่างไม่ไร้ราก
oo
ติดต่อขอรับใบสมัครที่ shambhala04@gmail.com หรือ นภา 089-160-3588 (เปิดรับสมัครตั้งแต่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป)
นน
๐ วิจักขณ์ พานิช
นักเรียนรู้และครูพเนจร เดินทางขึ้นเหนือ ล่องใต้ เพื่อทำความเข้าใจวิถีชีวิตที่หลากหลายของผู้คนในยุคมืดมนทางจิตวิญญาณ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มจิตวิวัฒน์ยุคผลัดใบ นักวิชาการด้านการศึกษาและพุทธศาสนา ผู้ไม่สังกัดสถาบันการศึกษา ระบบราชการ หรือองค์กรอิสระใดๆ
oo
วิจักขณ์เป็นวิทยากรอิสระให้กับเสมสิกขาลัย องค์กรภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ จัดการฝึกอบรมอิสระที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ด้านใน พุทธศาสนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม และการฝึกตนผ่านการภาวนาในฐานะกระบวนการ ด้วยศรัทธาในมิติทางคุณค่าของเส้นทางการแสวงหาทางจิตวิญญาณ ผ่านการสื่อสารในภาษาของโลกสมัยใหม่ที่ก้าวข้ามการแบ่งแยกทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ เพศวิถี หรือลัทธิความเชื่อทางศาสนา
oo
วิจักขณ์ฝึกฝนภาวนาตามแนววัชรยานในสายปฏิบัติของเชอเกียม ตรุงปะ ภายใต้การดูแลของเร้จจี้และลี เรย์ ทำหน้าที่ครูช่วยสอนให้กับอาจารย์ทั้งสอง ทั้งในชุมชนผู้ปฏิบัติที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและในประเทศไทยhttp://vichak.blogspot.com/
oo
โจน จันได
สามัญชนลูกอีสานที่เรียนรู้ชีวิต ผ่านประสบการณ์ตรงนอกระบบการศึกษา หลายคนรู้จักเขาในนาม “โจน บ้านดิน” ผู้จุดประกายกระแสบ้านดินฟีเวอร์ จนแตกแขนงออกเป็นเครือข่ายคนสร้างบ้านดินในทุกวันนี้ จากชีวิตชาวนาที่ครั้งหนึ่งเคยต้องทิ้งที่นาเข้าไปทำงานรับจ้างรายวันในกรุงเทพฯ โจนได้เรียนรู้ที่จะกลับคืนสู่จิตวิญญาณแห่งผืนดิน สู่การดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและเรียบง่ายสอดคล้องไปกับธรรมชาติ
oo
โจน และเป๊กกี้ ภรรยาชาวอเมริกัน เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้พันพรรณ ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ศูนย์แห่งนี้ได้ต้อนรับผู้สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศปีละหลายพันคน พันพรรณยังเป็นศูนย์เมล็ดพันธุ์พื้นบ้านที่มีเป้าหมายในการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของพืชพันธุ์ ที่เริ่มที่จะสูญหายไปจากผืนดินไทยด้วยผลกระทบของลัทธิทุนนิยมและบริโภคนิยม http://www.punpunthailand.org/
o
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจออนไลน์
huahinhub Thanks
o

7.03.2552

| กระตุ้นความคิด ๑๒๘ (กระเป๋าในความฝัน)




กระเป๋า ใส่ความฝัน


ความมุ่งมั่น และทางเดินในอนาคตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงหัวค่ำของวันฝนโปรย เราได้บังเอิญพบหญิงสาวคนหนึ่งย่านสยามสแควร์ เธอกำลังยืนอยู่ในบูตของตัวเองติดกับอีกหลายบูตที่มาออกร้านในตลาดนัดงานดีไซน์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งการจัดวางและกระเป๋าหลากหลายรูปทรงของ ภัททราพร วัฒนะลิขิต หรือ เอ นั้น โดดเด่นเตะตา แม้จะมีราคาแพงกว่าของคนอื่นที่มาออกงานด้วยกันอยู่หลายเท่า ทำให้ต้องแวะเวียนเข้าไปเยี่ยมชม

หลายวันถัดมา เราจึงนัดเจอเธอที่บ้านหลังใหญ่อันเป็นแหล่งผลิตสินค้าทุกชิ้น ทำเองล้วนๆ ในห้องนอนโดยไม่มีผู้ช่วยแม้แต่คนเดียว เอบอกเล่าให้ฟังว่า เธอเพิ่งเรียนจบหลักสูตรประกาศนียบัตร 1 ปี ทางด้าน Shoe and Accessories Design ที่ Istituto Europeo di Design กรุงโรม อิตาลี พร้อมกับขยายความสาขาที่เรียนว่า

"คนไทยชอบเข้าใจผิด รวมทั้งเราด้วยว่า Accessory คือ ต่างหู และของเล็กๆ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมันคือทุกอย่างที่อยู่บนร่างกาย พอเรามาเรียน เราจึงได้เรียนทุกอย่างตั้งแต่แว่นตา นาฬิกา เข็มขัด รองเท้า กราเป๋า สร้อยคอ แหวน หมวก ต่างหู ที่คาดผม เข็มกลัดฯลฯ แต่ที่เราชอบออกแบบเป็นพิเศษก็จะเป็นพวกต่างหู ข้อมือ แหวน กระเป๋า และรองเท้า"

ก่อนหน้านี้ เอจบไฮสคูลที่นิวซีแลนด์แล้วกลับมาบ้านเพื่อรักษาตัวเนื่องจากไม่ค่อยแข็งแรง จึงได้ช่วยงานของคุณพ่อไปพลางๆ เป็นเวลา 7 - 8 ปี ก่อนจะออกมาหาประสบการณ์การทำงานด้าน Event Coordinator อยู่ 2 ปี แล้วหักมุมไปเรียนต่อที่อิตาลี

"ตอนนั้น คิดหนักอยู่เหมือนกันค่ะว่า อายุก็สามสิบแล้วน้า จะไหวเร้อ แต่ก็เอาล่ะ ลองดู ไม่เป็นไร เราหน้าเด็ก (หัวเราะ)" เส้นทางชีวิตของหญิงสาวผู้ไม่เคยพบเจอความลำบากจึงเริ่มต้น ณ กรุงโรม เรียนจริง ทำจริง ทุกสิ่งอัน เมื่อตกลงไปเรียนต่อ เธอเลือกจะอยู่นอกเมืองตามที่คนรู้จักแนะนำ เอเล่าถึงชีวิตการเรียน 1 ปีเต็มเมื่อปีที่ผ่านมาว่า ต้องนั่งรถเมล์ต่อรถไฟและต่อรถเมล์อีกรอบกว่าจะถึงโรงเรียนใช้เวลา 1ชั่วโมง 15 นาที โดยไปเรียนทุกวันและกลับมาทำงานต่อที่บ้าน บางวันทำถึงตี 4 เพราะเป็นคนชอบทำงานกลางคืน ยังไม่รวมการทัศนศึกษาตามโรงงานต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้อย่าง โรงงานทำหุ่นเท้าไม้สำหรับโชว์รองเท้า โรงงานหมวก โรงงานแบรนด์ดังอย่างเฟอร์รากาโม่ ตลาดนัดวินเทจไปจนถึงงานแฟร์ขายสินค้าต่างๆ

"ตอนที่เราไปเรียนก็ไปเรียนจริงๆ ค่ะ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ไม่มีเวลา เป็นหลักสูตรที่เรียนหนักมาก เพราะก่อนหน้านี้มันเป็นหลักสูตร 2 ปีแล้วลดเหลือปีเดียวเลยต้องเรียนอัดกันทุกอย่าง แต่ก็สนุกดีนะ ทุกคนที่เรียนก็ไม่มีพื้นด้านนี้ เริ่มใหม่เหมือนกันหมด เริ่มจากการหัด Drawing เรียนเทรนด์แฟชั่น เรียนการเย็บหลายๆ แบบสำหรับใช้ในงาน หรืออย่างเรียนกระเป๋าก็ได้เรียนวิธีเย็บก้นกระเป๋าทุกแบบ เย็บให้ได้ทุกทรง"

เมื่อดูจากผลงานของเอแต่ละชิ้น ใครได้เห็นก็คงต้องทึ่งในความพยายามของเธอ อย่างกระเป๋าหนังแต่ละใบนั้น เอใช้เวลาทำช่วงกลางคืนถึง 5 วัน เย็บมือทั้งชิ้น เริ่มตั้งแต่ตัดหนัง ใช้ที่เจาะรูจุดลงไปแต่ละจุดก่อนจะเจาะรูทีละรูอีกที กว่าจะสอดเข็มเข้าไปเย็บ เรียกว่าทำกันจนมื้อด้านกว่าจะได้แต่ละใบ ส่วนกระเป๋าผ้าก็ง่ายหน่อยคือ ใช้จักรช่วยเย็บ

"ถามถึงแรงบันดาลใจนี่ ตอบไม่ถูกเลยนะ เพราะเราจะมีวิธีการทำงานที่ไม่เหมือนคนอื่นตลอด เราจะชอบซื้อผ้าซื้อของมาก่อนแล้วมานั่งดูว่าอะไรเข้ากับอะไร แล้วก็ทำเลย ไม่ใช่คนที่มานั่งออกแบบก่อน อย่างแพทเทิร์นเราก็ไม่มีนะ ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย เราก็ตัดลงบนผ้าเลย ไม่มีแบบ ถ้าจะทำใบเดิมซ้ำ เราก็เอาใบเดิมมาวางแล้วก็กะขนาดเอา ก็ออกมาก็เท่าๆ กัน ต่างกันนิดหน่อย ดูไม่ค่อยออกหรอก (ยิ้ม)" เอยืนยัน

นอกจากนี้ ผลงานของเธอยังมีจุดเด่นตรงที่การนำวัสดุไม่เหมือนใครมาใช้อาทิ การนำพรมเช็ดเท้าหรือผ้าเช็ดตัวมาตัดทำกระเป๋าได้อย่างสวยงามถึงกับเรียกเสียงฮือฮาจากชาวอิตาลีมาแล้ว


มุ่งสู่อนาคต
แม้จะชอบแต่งตัวมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ที่เคยวาดฝันไว้ตอนนู้นคือ การเป็นนักธุรกิจ มิใช่ดีไซนเนอร์ หากวันนี้ เธอก็กำลังเริ่มต้นมีแบรนด์เล็กๆ ของตัวเองภายใต้ชื่อว่า Monelladesign แปลว่าเด็กดื้อออกแบบ อันหมายถึงตัวเธอเอง โดยวางขายเฉพาะในเวบ http://www.monelladesign.com/ และตามคนรู้จักบอกต่อกัน ยังไม่นับรวมแผนการณ์ในอนาคตที่จะไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศอังกฤษสาขารองเท้าในปีการศึกษาถัดไปนี้ เอให้เหตุผลที่เลือกไปเรียนด้านนี้ว่า ตอนเรียนที่อิตาลีรู้สึกว่ายังไม่ค่อนชำนาญด้านรองเท้า และเวลาเรียนก็มีน้อยจึงอยากเรียนรู้ให้มากกว่านี้ ไม่เหมือนกับกระเป๋าที่แค่มองดู เธอก็รู้ขั้นตอนในการทำ

"ที่ไปเรียนไม่ใช่เพราะเราอยากได้ปริญญาหรอก เราคิดว่าประสบการณ์สำคัญกว่าปริญญา แล้วที่เราไปเรียนมา ก็ทำให้รู้สึกเลยว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ได้ดูแลรับผิดชอบตัวเอง ก็เลยวางแผนไว้ว่า พอเรียนจบก็อยากจะฝึกงานหาประสบการณ์ที่นู่นก่อน แล้วค่อยกลับมาเปิดร้านขาย Accessory ของตัวเอง อาจจะมีสินค้าเด็กๆ ด้วย เพราะเรารู้สึกว่าของใช้ของเด็กที่เมืองไทยมันไม่ค่อยน่าใช้ เลยอยากทำเอง อย่างตอนนี้ก็ทำกระเป๋าให้หลานๆ ที่บ้านใช้เองด้วย (ยิ้ม)" อนาคตอีกยาว ไกลใครจะรู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้น
o
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ โดย : วิภานี กาญจนาภิญโญกุล
huahinhub Thanks
o

6.29.2552

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๒๘ (พลังชุมชนโคกไม้เดน)





ชาวบ้านโคกไม้เดน จ.นครสวรรค์ ร่วมใจจัดประชาพิจารณ์การสร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น สืบสานความรู้และภาคภูมิใจเมืองโบราณทวาราวดีอายุกว่า 1,000 ปี

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่อมตอบสนอง การดำรงอยู่ของคนร่วมสมัย อย่างน้อยก็ในการสร้างจิตสำนึก ของความเป็นคนถิ่นเดียวกัน ในงานประชาพิจารณ์การจัดการพิพิธภัณฑ์ชุมชนโคกไม้เดน ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ของชาวชุมชนบ้านโคกไม้เดน เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา นำโดย พระอธิการธีรศักดิ์ ธีระธัมโม เจ้าอาวาสวัดเขาไม้เดน
ooo
เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมสำหรับการสร้างแหล่งเรียนรู้ของตนเอง
ท่านเจ้าอาวาสเล่าว่าชาวชุมชนรับรู้ว่าพื้นที่ที่ตนอยู่อาศัยนั้นเป็นเมืองโบราณอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี ด้วยกรมศิลปากรเคยทำการสำรวจและขุดแต่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 พบซากโบราณสถานสมัยทวารวดีหลายแห่ง
ครั้นปี พ.ศ.2540 ท่านเจ้าอาวาสได้เข้าร่วมอบรมเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถาน ทำให้เกิดแนวคิดในการจัดทำพิพิธภัณฑ์ จึงประกาศแนวคิดนี้ออกไป ชาวบ้านรวมถึงนายกเทศมนตรีตำบลท่าน้ำอ้อย ต่างเห็นดีด้วย
ทุกวันนี้ พิพิธภัณฑ์วัดเขาไม้เดนได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมแล้ว เป็นอาคารไม้สองชั้น ชั้นบนจัดแสดงโบราณวัตถุประเภทต่างๆ เช่น โครงกระดูกมนุษย์
oo
ภาชนะดินเผาแบบต่างๆ อุปกรณ์ขึ้นรูปภาชนะดินเผา ลูกปัด และชิ้นสำคัญคือประติมากรรมสำริดรูปมนุษย์ผู้ชายเปลือยกายชูมือสองข้างเหนือศีรษะ กล่าวกันว่าไม่เคยพบในแหล่งโบราณคดีใดๆ มาก่อน เรียกว่า "มนุษย์ปั้นเมฆ" สำหรับใช้ในพิธีกรรมขอฝน ส่วนชั้นล่างเตรียมพัฒนาเป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวร
00
"เราเริ่มเก็บสมบัติแผ่นดินรวมไว้ที่วัดมา 8 ปี มีของมากกว่า 200 ชิ้น ใครไปทำไร่นาแล้วพบก็นำมาถวายวัด ลูกปัดเอย กระดูกมนุษย์โบราณเอย อาตมาก็อยากได้ความเห็นจากพวกเราว่า จะร่วมกันทำอย่างไรให้พิพิธภัณฑ์ของเราเป็นแหล่งเรียนรู้ของคนรุ่นหลังต่อๆ ไป" นัทธี พุคยาภรณ์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์ เสนอว่าควรดึงองค์การบริหารส่วนจังหวัดมาร่วมสนับสนุนงบประมาณ จัดทำภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม เตรียมป้ายบอกทาง และเตรียมทำเส้นทางเยี่ยมชมโบราณสถานจุดต่างๆ โดยจัดอบรมมัคคุเทศก์น้อยเพื่อนำการบรรยาย ทั้งนี้อาจขอให้กรมศิลปากรจัดส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยฝึกอบรมให้
oo
มคิดว่าที่นี่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ อย่างบทเพลงที่อาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศ กรุณาแต่งให้หลายเพลง เราก็จะให้ครูไปคิดท่ารำสอนเด็กต่อไป" ชาวบ้านบางคนเสนอว่าการดำเนินการใดๆ ต้องให้ภาคประชาชนทำเป็นหลัก ภาครัฐควรเป็นแค่พี่เลี้ยง และควรมีการประเมินผลโครงการตลอดเวลา บางคนเสนอให้นำข้อมูลความรู้ด้านประวัติศาสตร์-โบราณคดีของโคกไม้เดน บรรจุในหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนในพื้นที่ 3 แห่งด้วย โดยเนื้อหาหลักสูตรอาจแบ่งเป็นด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างศาสนสถานเมื่อ 1,000 ปีก่อน วิทยาการการทำคูน้ำคันดินโบราณ อาชีพในอดีต สาเหตุของความเสื่อมโทรมของชุมชนโบราณ ตลอดจนร่องรอยวิถีชีวิตของคนในอดีต
oo
โสภณ ปานพรม ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเขาไม้เดน ในฐานะผู้ดำเนินการประชุม ขมวดประเด็นเชิงรุกว่าจะพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โดยทำผังกำหนดจุดเยี่ยมชมจำนวน 13 จุด เริ่มต้นด้วยการเดินขึ้นเขาปกล้น ชมโบราณสถานสมัยทวารวดีบนยอดเขาและจินตนาการถึงทิวทัศน์ชุมชนโบราณ จากนั้นลอดอุโมงค์ในหมู่บ้านผ่านคูเมือง ไปยังวัดพระปรางค์เหลือง จุดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นมณฑลนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ.2449 (ก่อนเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่สอง 1 ปี) ระหว่างทางจะมีชาวบ้านตั้งเพิงขายขนมท้องถิ่น เช่น ข้าวเกรียบว่าว มีบริการอบไอน้ำด้วยสมุนไพร รวมถึงบริการนวดแผนโบราณ
ส่วนในแง่ประวัติศาสตร์นั้น อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ เล่าว่าเมืองบนเริ่มเป็นบ้านเมืองราว พ.ศ.1000
io
มัยที่เจดีย์ทวารวดีที่โคกไม้เดนมีชีวิตชีวาอยู่นั้น แม่น้ำเจ้าพระยาที่ข้ามท่าน้ำอ้อยไม่ได้เป็นแบบนี้ สมัยกรุงศรีอยุธยาเรียกว่าแม่น้ำพระประแดง บริเวณนี้เป็นเมืองบนกับโคกไม้เดน ไม่แยกส่วนกับเมืองล่างที่อยู่ในเขตอำเภอมโนรมย์ ชัยนาท เมืองบนกับเมืองล่างนี้ไม่พบซากสถูปเจดีย์ มีพบเล็กๆ น้อยก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นสถูปเจดีย์ ซึ่งผิดสังเกต ต่างจากบ้านเมืองทั่วไปที่พบสถูปเจดีย์ร่วมด้วย แต่สถูปเจดีย์สมัยทวารวดีอยู่บริเวณโคกไม้เดนกับยอดเขาทั้งยอด แปลว่าผู้คนสมัยทวารวดีที่เมืองบนกับเมืองล่างยกย่องเขตนี้ว่าเป็นเขตศาสนสถาน บริเวณโคกไม้เดนเป็นเนินสูงกว่าที่ลุ่มโดยรอบ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ น่าเชื่อว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของคนสมัยก่อนทวารวดี"
oo
สุจิตต์ อธิบายเหตุของการเกิดชุมชนเมืองบนและเมืองล่างในสมัยก่อน เพราะเป็นชุมชนที่อยู่บนเส้นทางขนส่งทางน้ำตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ "เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระสงฆ์มาเผยแผ่ศาสนาประมาณ พ.ศ.300 พระสงฆ์คณะนั้นโดยสารเรือสินค้ามา มีพราหมณ์โดยสารมาด้วย มาเริ่มปักหลักที่อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี ลำน้ำมะขามเฒ่าที่อู่ทอง ใกล้กับมโนรมย์ เป็นต้นน้ำนครไชยศรี หรือแม่น้ำสุพรรณบุรี เมืองบนกับเมืองล่างเป็นที่คุมเส้นทางการค้าเส้นนี้ แถวเจ้าพระยา สะแกกรัง มะขามเฒ่า ไปออกแม่น้ำน้อย สิงห์บุรี ถ้าจะส่งสินค้าไปทางอีสานหรือเหนือก็ต้องผ่านสถานีการค้านี้"
oo
นการล่มสลายของเมืองบนนั้น สันนิษฐานว่าเป็นเพราะเส้นทางปลง ทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางการค้า "ตอนนั้นราษฎรจำนวนไม่น้อยยังอยู่ที่เดิม เป็นชาวป่านาไร่ ทีนี้เมืองนครสวรรค์มาเกิดทีหลังเมืองบนประมาณ พ.ศ.1800 พอสมัยรัชกาลที่ 2 คนมาปลูกอ้อยที่เมืองบนกันมาก ถึงเป็นที่มาชื่อท่าน้ำอ้อย ในเอกสารสมัยรัชกาลที่ 4 ยังบอกถึงตอนตั้งเมืองพยุหคีรี ชื่อเมืองสะกดแบบไม่มีสระอะเพราะเป็นคำสมาส"
เรื่องราวของชุมชนโคกไม้เดนหรือเนินที่เต็มไปด้วยไม้เหลือเลือก (ที่มาของสำนวน "เหลือเดน" ไม้เดนเหมาะสำหรับทำฟืน เผาถ่าน) ยังมีประเด็นให้ขบคิดและเรียนรู้มากมาย โดยเฉพาะการร่วมแรงร่วมใจของชาวชุมชนในการอนุรักษ์สมบัติแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน
oo
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ โดยยุวดี วัชรางกูร
huahinhub Thanks
oo

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๒๗ (พิพิธภัณฑ์ติดล้อ)


สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้จัด Muse Mobile โชว์นิทรรศการเรียงความประเทศไทย สัญจรทั่วประเทศ ออกตัวหน้า พารากอน วันที่ 11-15 ก.ค.นี้

สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติยก นิทรรศการเรียงความประเทศไทย ที่บอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของประเทศไทย และคนไทย ขึ้นรถสัญจรไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ในชื่อ Muse Mobile พิพิธภัณฑ์ติดล้อ เพื่อขยายพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีความทันสมัย สนุกสนาน และ เพลิดเพลิน

สถาบันจึงได้จัดทำโครงการนิทรรศการและกิจกรรมการเรียนรู้เคลื่อนที่ (Muse Mobile) เพื่อเป็นการนำร่องการสัญจรของพื้นที่ใหม่แห่งการเรียนรู้ออกสู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทย
ooo
พลเรือเอกฐนิธ กิตติอำพน รักษาการผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ กล่าวว่า กว่า 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้สนใจเข้าชมมิวเซียมสยามแล้วกว่า 260,000 คน และจากการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่มาจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สถาบันจึงมีแนวคิดที่จะกระจายความรู้ออกสู่ทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเหนือ ใต้ ตะวันออกหรือตะวันตก โดยจะได้โอกาสในการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมกัน
oo
สถาบันจึงได้เริ่มโครงการนิทรรศการและกิจกรรมการเรียนรู้เคลื่อนที่ “Muse Mobile พิพิธภัณฑ์ติดล้อ” ด้วยหวังว่าการสัญจรของนิทรรศการและกิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นต้นแบบของการสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย อันจะนำมาซึ่งการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนตลอดไป
oo
“Muse Mobile พิพิธภัณฑ์ติดล้อ” ภายใต้หัวข้อ “เรียงความประเทศไทย” ถอดแบบมาจากนิทรรศการถาวรจากมิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของประเทศไทย และคนไทย ที่เน้นการตั้งคำถาม เพื่อหาคำตอบ ไทยแท้คืออะไร? คุณคือคนไทยหรือเปล่า?
oo
พบกับ “Muse Mobile พิพิธภัณฑ์ติดล้อ” ที่พร้อมจะสัญจรไปทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย เริ่มจากกรุงเทพฯ ณ ลานพาร์คพารากอน วันที่ 11-15 กรกฎาคม 2552 เวลา 10.00 -20.00 น. และจะเคลื่อนย้ายไปยัง เทศบาลนครลำปาง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-30 กันยายน 2552

6.20.2552

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๑๒๗ (ออฟฟิสสุดแนว)













สนุกคิดกับออฟฟิศสุดแนว
ไพเราะ เลิศวิราม Positioning Magazine สิงหาคม 2551จะได้ใจแค่ไหน หากทำให้พนักงานอยู่ในบรรยากาศที่ชื่นชอบได้ตลอดเวลา ยิ่งอยู่ในอาชีพที่ต้องใช้ไอเดียสดใหม่ ต้องใช้แรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมมากๆ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานมากกว่าอยู่บ้าน อย่างเอเยนซี่โฆษณา ด้วยความคิดเหล่านี้เอง
จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “Express yourself award”ที่สุทธิศักดิ์ สุจริตานนท์ ซีอีโอ บริษัท BBDO ปิ๊งไอเดีย ให้พนักงานใส่จินตนาการ หาคอนเซ็ปต์เนรมิตโต๊ะทำงานได้ตามใจชอบ ไอเดียมันๆ แบบนี้เองมีที่บีบีดีโอเท่านั้น “สถานที่ทำงานมีผลต่อคนทำงานโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราเข้าไปในออฟฟิศแล้วไม่ชอบ เรายังไม่อยากทำอะไรเลย ยิ่งอยู่ในบริษัทโฆษณา ซึ่งเป็นธุรกิจคอมเมอร์เชียลบวกอาร์ต ยิ่งต้องทำให้ที่ทำงานเกิดแรงบันดาลใจเกิดกับคนเขาทำงานอยู่” สุทธิศักดิ์ ประธาน และประธานกรรมการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บอกถึงที่มาของความคิด เอเยนซี่ส่วนใหญ่อาจเลือกด้วยการให้อินทีเรียร์ดีไซน์ออกแบบออฟฟิศให้แปลก แหวกแนว ตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ แต่สุทธิศักดิ์ คิดไกลไปกว่านั้น เขาให้พนักงานออกแบบบริเวณพื้นที่ทำงานได้ตามใจชอบ “ถ้าจะให้ความสำคัญกับพนักงานให้เขามีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ ทำไมไม่ให้เขาอยู่ในพื้นที่ๆ เขาออกแบบได้เอง ในแบบที่เขาชอบ ส่วนใหญ่พนักงานที่นี่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงาน 12-13 ชั่วโมงกันอยู่แล้ว” สุทธิศักดิ์ไม่คิดเปล่า เขาเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคน และจากทุกแผนกได้ใส่ไอเดียออกแบบพื้นที่ทำงานตามความชื่นชอบได้อย่างเต็มที่ เขาสร้างแรงกระตุ้นด้วยลงมือ เนรมิตห้องประชุมที่ดูเงียบขรึมให้กลายเป็นสนามเทนนิสให้เป็นตัวอย่าง ซึ่งมาจากความชื่นชอบกีฬาชนิดนี้มาตั้งแต่อายุ 14 ปี พอเริ่มทำ พนักงานก็เริ่มลงมือคิดสร้างสรรค์ เขาจึงสร้างแรงจูงใจอีกขั้น ด้วยการจัดเป็นโครงการประกวด โดยมีคณะกรรมการตัดสินจากภายนอก 8 คน มีทั้งศิลปิน คนทำหนังสือ ครีเอทีฟ นักสร้างสรรค์ คนทำงานด้านไลฟ์สไตล์ มาตัดสิน ให้คะแนนเพื่อหาผู้ชนะภายใต้โจทย์ที่ว่า นอกจากมีไอเดียสร้างสรรค์สวยถูกใจกรรมการแล้ว ยังต้องใช้เงินลงทุนไม่มาก การทำแบบนี้ นอกจากได้เห็นศักยภาพในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และเห็นฝีมือของพนักงาน ยังทำให้เขาเข้าถึงจิตใจพนักงานว่าเป็นคนแบบไหน แต่ละคนชื่นชอบอะไร ผลดีอีกด้านที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน คือ การมีส่วนร่วมและความรักใคร่กลมเกลียวของพนักงานทั้งออฟฟิศที่แม้จะอยู่ต่างแผนก ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็เข้ามาช่วยกันทำงาน ครีเอทีฟมาช่วยตอกตะปู ก๊อบปี้ไรเตอร์มาช่วยทาสี บรรยากาศการทำงานเต็มไปด้วยความคึกคักและมีชีวิตชีวา “ผมเห็นแล้วยังตกใจว่าเขาทำกันได้ขนาดนี้ ใช้เงินน้อยมาก แต่ออกมาสวยเหลือเชื่อ” สุทธิศักดิ์พาชม และชี้ให้ดูการออกแบบพื้นที่ต่างๆ ของพนักงานด้วยความภูมิใจ ไอเดียกระฉูดเหล่านี้ เปิดกว้างให้พนักงาน 130 คนจากทุกแผนก ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นครีเอทีฟ จะสมัครใจทำคนเดียว จับคู่กัน จะมาเป็นทีม จะส่งเข้าประกวด หรือทำเล่นๆ สนุกๆ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด ฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจหากใครได้ไปสำนักงานของบีบีดีโอยามนี้ จะได้เห็นด้วยสีสันบรรยากาศที่ไม่เคยได้พบเห็นจากออฟฟิศที่ไหน สุทธิศักดิ์บอกว่า มีที่บีบีดีโอ ประเทศไทยแห่งเดียว แม้แต่สาขาในต่างประเทศก็ยังไม่ทำถึงขั้นนี้ เราจึงได้เห็นโต๊ะทำงานบริเวณเล็กๆ แปลงกายเป็นสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด ได้เห็นห้องทำงานของเหล่าทีมครีเอทีฟ ร่วมกันเนรมิตให้กลายเป็นท้องทะเลลึก มีทั้งนักประดาน้ำแหวกว่ายท่ามกลางพืชทะเลและแมงกะพรุน บางรายที่ชื่นชอบหัวหินเป็นชีวิตจิตใจ ก็แปลงห้องทำงานให้เหมือนอยู่ริมทะเล เอาทรายมาโรยทำหาดทราย ต้นมะพร้าว เก้าอี้ผ้าใบ ชนิดที่ทำงานท่ามกลางหาดทราย สายลม สองเรา ห้องกาสิโน รอยัล จำลองเอาเอาอารมณ์ของลาสเวกัสมาเลย นิรันดร์ สัมมาเลิศภัณฑ์ เจ้าของโต๊ะ บอกได้แรงบันดาลใจมากจากการชอบเล่นไพ่ (แต่ไม่ชอบพนัน) แต่รู้สึกสงสัยว่า ทำไมไพ่ถึงต้องมีแค่ 52 ใบ แต่สามารถขายได้ทั่วโลก “การทำงานก็เหมือนกับการเล่นไพ่ ต้องกล้าตัดสินใจ ต้องวางแผน เพราะต้องแข่งกับคนนอก เพื่อให้ได้งานที่ดี ต้องเสี่ยง เพราะคนชนะมีเพียงหนึ่งเดียว” นิรันดร์บอกถึงที่มาของไอเดีย ส่วนอีกกลุ่ม ไหนๆ ก็ต้องประชันทางความคิดอยู่แล้ว ก็เลยพื้นที่ทำงานประหนึ่งเวทีมวย ใช้ประลองความคิด หรือจะกำลังไปพร้อมๆ กัน ที่มันกว่านั้น ไหนๆ ก็ต้องทำงานคู่กันอยู่แล้ว ก็เลยจัดเป็นห้องวิวาห์ (ทางความคิด) ระหว่างชายหนุ่มสองคน ในห้องมีทั้งม่านชมพู ช่อดอกไม้ หรือทีม Vacation ที่ได้ชนะเลิศ นำทีมโดย บงกชธร นาคสวัสดิ์ เธอบอกว่า ได้ไอเดียมาจากความที่อยากมีบ้านริมทะเลมาตั้งแต่เด็ก จึงทำห้องทำงานให้เหมือนอยู่บ้านริมทะเลที่ปราณบุรี ห้องทำงานของกลุ่มนี้ เรียกว่าจำลองบ้านมาเลย เพราะมีทั้งฝาบ้าน สวนหย่อม ดูเผินๆ แล้วนึกว่าไม่ได้อยู่ในออฟฟิศ “เราทำให้โต๊ะทำงานดูสบายๆ สามารถนั่งทำงานได้จริง พอทำเสร็จก็รู้สึกรักห้องนี้มาก ทุกคนในออฟฟิศก็รักด้วย มาช่วยกันทำโน่นทำนี่” บงกชธร เล่า ไอเดียเด็ดๆ แหวกแนวแบบนี้ ถ้าเป็นออฟฟิศอื่นอาจต้องคิดหนัก เพราะต้องแลกด้วยผนังที่จะถูกปูทับด้วยแผ่นไม้ ตะปูที่ฝังลงในผนัง พื้นห้องที่ถูกโรยด้วยกรวด และสีสารพัดที่ถูกสาดลงบนฝาห้อง แต่สุทธิศักดิ์กลับไม่คิดเช่นนั้น เขาเชื่อว่าสิ่งได้กลับมาคุ้มค่ามากกว่านั้น “สุดท้ายคนข้างนอกก็เห็นว่าพนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ ขนาดพื้นที่ที่ทำงานเขายังครีเอตเองได้เลย ทุกคนมีไอเดียหมด ใครก็อยากเอางานดีๆ มาให้ทำ” เขายังพบอีกว่า “เมื่อพนักงานมีความสุข สร้างสรรค์งานได้มากที่สุดแล้ว คนก็ไม่อยากลาออก คนนอกก็อยากมาทำงาน” นั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของซีอีโอ บีบีดีโอ

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๒๕ (น้ำใจในการแข่งขัน)

"แพ้-ชนะ"สำคัญที่(น้ำ)ใจ
ความที่การแข่งขันกีฬาสมัยนี้เข้มข้นสูสี แถมยังมีปัจจัยเรื่องลาภยศชื่อเสียงและศักดิ์ศรีเป็นองค์ประกอบ บางครั้งทั้งคนแข่งขันและคนเชียร์ อาจเผลอไผลลืมไปว่าสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า "ชัยชนะ" ก็คือ "น้ำใจนักกีฬา""ดิ อ๊อบเซิร์ฟเวอร์" หนังสือพิมพ์เมืองผู้ดี เลยรวบรวม 10 เรื่องประทับใจ เพื่อย้ำเตือนไปในตัวว่า บางครั้งในโลกกีฬา ผลแพ้-ชนะก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดเสมอไปจริงๆ
ooo

1.ลุตซ์ ลอง - กระโดดไกล โอลิมปิคเกมส์ (ปี 1936)ต่อหน้า "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" ผู้นำเผด็จการนาซี ในการแข่งขัน "เบอร์ลินเกมส์" ที่ประเทศเยอรมนี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า "ลุตซ์ ลอง" นักกระโดดไกลเจ้าถิ่นต้องแบกความคาดหวังและความกดดันใหญ่ยิ่งไว้ขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อ "เจสซี่ โอเว่นส์" คู่แข่งคนสำคัญจากสหรัฐ โดนกรรมการจับฟาวล์ถึง 2 ครั้งในรอบคัดเลือก (โดยไม่แน่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่) ลองก็ออกหน้าบอกให้กรรมการวัดระยะวางเท้าของโอเว่นส์ใหม่ ท้ายที่สุด โอเว่นส์คว้าเหรียญทอง ส่วนลองคว้าเหรียญเงิน และแชมป์ชาวอเมริกันให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์นั้นในภายหลังว่า "ต่อให้เอาเหรียญรางวัลหรือถ้วยแชมป์ทั้งหมดที่ผมทำได้มาหลอมรวมกัน ก็คงมีค่าไม่เท่ากับมิตรภาพ 24 กะรัตที่ผมได้รับจากลุตซ์ ลอง ในคราวนั้นหรอกครับ"

ooo
2.แจ๊ค นิคคลอส - ไรเดอร์คัพ (ปี 1969)ในศึกกอล์ฟประเพณีปีที่เข้มข้นที่สุดครั้งหนึ่งของยุค "โทนี่ แจ๊คลิน" โปรกอล์ฟอังกฤษซึ่งออกรอบกับ "เจ้าหมีทอง" ยอดโปรอเมริกัน โดนกดดันว่าต้องพัตต์ระยะ 2 ฟุต บนกรีนหลุมสุดท้ายให้ลงเพื่อตีเสมอในประเภทเดี่ยวและไม่ปล่อยให้ถ้วยแชมป์ตกเป็นของสหรัฐ ในสถานการณ์ที่กดดันและตึงเครียดอย่างที่สุด นิคคลอสกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการหยิบลูกของแจ๊คลินขึ้นมาให้ถือว่าเขาพัตต์ลงโดยไม่ต้องออกแรง โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่า "ผมคิดว่าคุณคงพัตต์ไม่พลาดหรอก แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ ผมจะไม่ยอมให้ (ความผิดพลาด) เกิดขึ้นแน่นอน" ปรากฏว่าไรเดอร์คัพปีนั้นลงเอยด้วยการเสมอ 16-16 คะแนน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และสหรัฐ แชมป์เก่า ได้ครองถ้วยต่อ แต่กลับมีเพื่อนร่วมทีมบางคนไม่พอใจน้ำใจของนิคคลอสสักเท่าไรนัก
ooo

3.แอนดรูว์ ฟลินทอฟฟ์ - ดิ แอชเชส (ปี 2005)ศึกคริคเกตประจำปีระหว่างอังกฤษกับออสเตรเลียที่เมืองเบอร์มิงแฮมลงเอยด้วยชัยชนะของทีมเมืองผู้ดีแบบฉิวเฉียดชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ขณะที่นักกีฬาและแฟนๆ เจ้าถิ่นกำลังฉลองชัยกันอย่างลิงโลด ณ มุมหนึ่งของสนาม "เบร็ตต์ ลี" ผู้ตีทีมออสเตรเลียที่นอกจากจะเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้แล้วยังโดนเพื่อนร่วมทีมกระหน่ำด่าอย่างไม่ไว้หน้าได้แต่นั่งยองๆ ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก "แอนดรูว์ ฟลินทอฟฟ์" สตาร์ทีมอังกฤษเหลือบมาเห็นพอดี จึงรีบผละจากฝูงชนเข้าไปหาลี นั่งลงเคียงข้าง จับมือ ตบบ่า และปลอบโยนอย่างจริงใจ จนกลายเป็นภาพประทับใจประจำการแข่งขันที่ไม่มีใครลืมเลือน

ooo
4.จอห์น แลนดี้ - วิ่ง 1,500 เมตร ชิงแชมป์ออสเตรเลีย (ปี 1956)ทั้งที่ "จอห์น แลนดี้" นักกรีฑาแดนจิงโจ้ มีโอกาสสูงที่จะทำลายสถิติโลกวิ่งระยะทาง 1 ไมล์ ลงได้ในการแข่งขันคราวนั้น แต่เมื่อ "รอน คลาร์ก" คู่แข่งซึ่งวิ่งนำอยู่ลื่นล้มจนโดนคนอื่นๆ แซงไปหมด แลนดี้กลับหยุดวิ่ง หันมาพยุงคลาร์กให้ลุกขึ้น แล้วกลับไปแข่งต่อ ซึ่งที่สุดแล้วเขาก็คว้าแชมป์มาได้ และทำเวลาแย่กว่าสถิติโลกเพียง 6 วินาทีเท่านั้น
ooo
5.สเตอร์ลิ่ง มอส - โปรตุเกส กรังด์ปรีซ์ (ปี 1958)ในการแข่งขันโปรตุเกส กรังด์ปรีซ์ เนื่องจาก "ไมก์ ฮอว์ธอร์น" คู่แข่งคนสำคัญของยอดนักแข่งรถฟอร์มูล่าวันชาวอังกฤษทำท่าจะโดนตัดแต้มที่ทำรถหมุนหลุดจากเส้นทาง แต่มอสซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอดแจ้งกับกรรมการว่า ฮอว์ธอร์นไม่ได้ทำผิดกฎแต่อย่างใด ผลก็คือไม่มีการตัดแต้มเกิดขึ้น และฮอว์ธอร์นคว้าแชมป์โลกในปีนั้นโดยมีคะแนนเฉือนมอส (ซึ่งเฉียดตำแหน่งแชมป์โลกที่สุดในปีนั้น) เพียงแต้มเดียวเท่านั้น
ฟลินทอฟฟ์ (ขวา) ปลอบคู่แข่ง
ooo
ooo
6.เปาโล ดิ คานิโอ - พรีเมียร์ลีก (ปี 2000)เมื่อครั้งค้าแข้งอยู่กับ "เวสต์แฮม" นักเตะแบ๊ดบอยรายนี้เคยทำให้หลายคนต้องอึ้งไปไม่น้อยในการลงสนามกับ "เอฟเวอร์ตัน" ในเดือนธันวาคมปีนั้น โดยขณะที่สองฝ่ายเสมอกัน 1-1 และเกมล่วงเลยเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เพื่อนก็เปิดบอลจากทางฝั่งขวาให้ดิ คานิโอ ที่มีโอกาสซัดโล่งๆ เนื่องจากไม่มีใครเฝ้าเสา แต่แทนที่เขาจะทำในสิ่งที่นักเตะพรีเมียร์เกินครึ่งน่าจะทำ ดิ คานิโอ กลับรับบอลเอาไว้และหยุดเล่น เนื่องจากเห็นว่า "พอล เจอร์ราร์ด" นายทวารคู่ต่อสู้กำลังนอนเจ็บอยู่ และเกมนั้นก็ลงเอยด้วยการเสมอ 1-1 ในที่สุดoo
oooo
7.มาร์ก เทย์เลอร์ - เทสต์ (ปี 1998)ย้อนไปในการแข่งขัน "เทสต์" เมื่อปี 1998 ที่ประเทศปากีสถาน "มาร์ก เทย์เลอร์" กัปตันทีมคริคเกตทีมชาติออสเตรเลีย สามารถทำสถิติการตีได้เทียบเท่าสถิติสูงสุดของการแข่งขัน หนำซ้ำยังมีโอกาสลุ้นทำลายสถิติโลกที่ "ไบรอัน ลาร่า" ผู้เล่นเวสต์อินดีสเคยทำไว้อีกต่างหาก ทั้งสื่อ เพื่อนร่วมทีม และแฟนๆ ต่างก็เชียร์ให้เขาทำให้สำเร็จ แต่แล้วเทย์เลอร์กลับตัดสินใจให้ยุติการแข่งขันรอบนั้นเสีย เพราะแทนที่จะปล่อยให้แข่งยืดเยื้อเพื่อที่ตัวเองจะได้ลุ้นสถิติการขึ้นรอบใหม่น่าจะช่วยให้ออสเตรเลียมีโอกาสลุ้นชัยชนะมากกว่า ปรากฏว่าแมตช์นั้นลงเอยด้วยผลเสมอ และเมื่อรวมผลตลอดทั้งเทสต์ ซีรีส์แล้วออสเตรเลียก็ได้แชมป์ปีนั้นไปครอง
oooo
8.จูดี้ กินเนส - ฟันดาบ โอลิมปิคเกมส์ (ปี 1932)ด้วยวัยเพียง 21 ปี "จูดี้ กินเนส" กำลังจะกลายเป็นนักกีฬาจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่คว้าเหรียญทองจากการแข่งขันฟันดาบในโอลิมปิคเกมส์ที่ลอสแองเจลิส และเธอก็เกือบจะขึ้นแท่นรับเหรียญทองจริงๆ เมื่อกรรมการตัดสินให้กินเนสเป็นผู้ชนะในการดวลรอบชิงชนะเลิศกับ "เอลเลน ไพรส์" ของออสเตรเลีย แต่แล้วเธอกลับหันไปบอกว่า กรรมการไม่ทันได้เห็นแต้มที่ไพรส์แทงถูก 2 ครั้ง จึงกลายเป็นว่าเหรียญทองตกเป็นของไพรส์แทน
000
9.บ๊อบบี้ โจนส์ - ยูเอส โอเพ่น (ปี 1925)ตำนานกอล์ฟชาวอเมริกันเคยสร้างผลงานสุดยอดคว้าแชมป์เมเจอร์ 13 รายการ ระหว่างปี 1923-1930 และปริ่มๆ จะบวกเพิ่มได้อีก 1 รายการในศึกยูเอส โอเพ่น เมื่อปี 1925 ซึ่งเขาพลาดแชมป์ไปเพียงสโตรกเดียว โดยในการแข่งขันรอบแรกของรายการนั้น โจนส์ไดรฟ์ลูกที่หลุม 10 ไปตกในรัฟ จังหวะที่จรดไม้เตรียมหวดช็อตถัดไป เขาพลาดทำลูกขยับเล็กน้อย แต่ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น โจนส์ผู้ซื่อสัตย์ก็ยอมรับกับกรรมการและขอให้ตัวเองโดนลงโทษปรับ 1 สโตรก ซึ่งเป็น 1 สโตรกที่ทำให้เขาพลาดแชมป์ในปีนั้นเอง ต่อมามีคนหยิบยกเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้นมาชื่นชม ซึ่งโจนส์ตอบอย่างน่าฟังว่า "(ถ้าผมถูกชมด้วยเหตุผลนี้) คุณก็คงต้องชื่นชมใครต่อใครที่ไม่คิด (แหกกฎหมาย) ไปปล้นธนาคารแล้วล่ะ"
ooo
10.ไอรีน ทิดบอล - ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก (ปี 2008)เรื่องนี้ไม่ใช่ "น้ำใจนักกีฬา" โดยตรง แต่ก็เป็น "น้ำใจ" ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ "กีฬา" ที่น่ายกย่องชื่นชมขนาดไม่กล่าวถึงไม่ได้จริงๆ เพราะเมื่อปีที่แล้ว "กวีลิม รีส" ลูกเขยของคุณยายคนนี้ตั้งใจจะเดินทางจากคาร์ดิฟฟ์ไปยังเมืองมึนเช่นกลัดบัก เพื่อเชียร์ทีมรักลงสนามพบกับเจ้าภาพ เยอรมนี แต่แล้วกลับไปขึ้นรถบัสของกองเชียร์ที่เตรียมไว้ไม่ทัน เมื่อทราบดังนั้น คุณยายไอรีนวัย 73 ปี ก็ทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่ ขับรถคู่ใจพาลูกเขยเดินทางข้ามประเทศเป็นระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร เพื่อเชียร์ทีมชาติเวลส์อย่างที่ตั้งใจไว้ใครชอบบอกว่าแม่ยายใจร้ายขี้บ่น คงต้องเว้นคุณยายคนนี้ไว้คนนึงล่ะ!!
o
ขอบคุณข้อมูลจาก มติชนออนไลน์
huahinhub Thankso
o