1.08.2553

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๓๕ (rพุทธธรรม พุทธศิลป์ เพื่อแผ่นดินไทย)


งานเสวนาเฉลิมพระเกียรติพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “พุทธธรรม พุทธศิลป์ เพื่อแผ่นดินไทย” ซึ่งจัดโดยธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รวมเอาพระนักคิด และศิลปินชั้นนำและศิลปินแห่งชาติ รวม 6 ท่าน ได้แก่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี, ศ.เกียรติคุณ ประหยัด พงษ์ดำ, ดร.ถวัลย์ ดัชนี, อ.จักร์พันธุ์ โปษยกฤต, อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และ อ.วัลลภิศร์ สดประเสริฐ มาร่วมเสวนา ศ.เกียรติคุณ ประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติปี 2541 สาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์)
เggg
ได้ให้ความหมายของศิลปะกับศีลธรรม ว่า ศิลปะคือสิ่งที่มนุษย์ สร้างขึ้นประดิษฐ์ขึ้น ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และควรจะทำให้จิตใจคนที่เสพศิลปะนั้นสูงขึ้น นอกจากนี้ศิลปินแห่งชาติปี 2541 ยังเชื่อว่าศิลปะกับศีลธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นว่ามีศิลปะหลายชิ้นที่ศิลปินสร้างขึ้น ไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจของผู้ชมให้สูงขึ้น
hhhh
“อาจจะเป็นเพราะสภาวะความเป็นอยู่ของบ้านเมืองเรามันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า จึงทำให้จิตใจของเราไม่พยายามคิดและสื่อออกมาในเรื่องที่มันสูงส่งดีงาม ไม่ใช่ว่าศิลปินทุกท่านนะครับ แต่บางครั้งที่ผมไปชมงานศิลปะ งานศิลปะมันทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่เลย ทำไมศิลปินไม่สร้างสรรค์อะไรที่ทำให้ผู้ชมดูแล้วรู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่ หรือสร้างสรรค์ความดีความงามให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่ดูแล้วท้อใจ อยากฆ่าตัวตาย”
ggg
ด้าน ดร.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ปี 2544 สาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรม) ให้ความหมายของศิลปะว่า คือการทำงานที่เกิดจากความรัก มุ่งมั่น ศรัทธา ประสบการณ์ หลอมรวมออกมาเป็นพลังขับเคลื่อนที่เป็นรูปลิ่มของมนุษย์ในทางสุนทรียภาพ “ถ้าเกิดให้ความจำกัดความ ผมคิดว่างานศิลปะไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรมและนาฎกรรม ต้องมีองค์คุณง่ายๆสัก 6 อย่าง
ggg
1. งานศิลปะต้องมีความคิดคำนึง
2. ต้องมีการแสดงออกของรูปอารมณ์ของความสะเทือนใจ นั้นๆ
3. มีท่วงท่าของจิตวิญญาณที่เป็นอิสระ และร้อนเร่าด้วยเพลิงปรารถนาหรือความ ก่ำไหม้ของอารมณ์ ซึ่งจะโศกเศร้าหรือปีติยินดีหรือกำหนัดก็ตามที จะต้องหลอมรวมอยู่ในนั้น
4. จะต้องมีปัจเจกลักษณะส่วนตัวของบุคคลผู้ซึ่งสร้างทำ
5. มีความประสาน กลมกลืน
6. เป็นสุดยอดของเทคนิค
ถ้ายังไม่ถึงองค์คุณทั้ง 6 อย่างแล้ว ไม่อาจเรียกว่า เป็นศิลปะ จึงเป็นได้แค่งานตกแต่งประดับประดา”
gggg
ส่วนพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการขาดความเข้าใจในศิลปะของพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ มีผลทำให้งานพุทธศิลป์ในรั้ววัดขาดความงดงาม ท่าน ว.วชิรเมธี เห็นว่าสิ่งสำคัญคือต้องพัฒนาการศึกษาให้กับพระสงฆ์ “ถ้าเรามีพระสงฆ์ที่ดีที่สุด ความรู้ทางโลกดี ความรู้ทางธรรมดี ความรู้ทางจิตใจดี พุทธศิลป์ที่กษัตริย์ทั้งหลายสร้างไว้ ที่ศิลปินสร้างไว้ จะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด แต่ถ้าพระไม่มีความรู้นะ ก็จะเป็นเช่นที่อาจารย์อังคาร กัลยาณพงศ์ เคยเล่าให้อาตมาฟัง วันหนึ่งอาจารย์อังคารไปเขียนรูปที่พระนครศรีอยุธยา มีอุโบสถหลังหนึ่งหลังเล็กๆอายุ กว่า 400 ปี พอจะไปนอน จะกลางมุ้ง พระลูกวัดเอาค้อนไปตอกตะปูที่ผนังอุโบสถ อาจารย์ อังคารช็อก ขนของออกจากโบสถ์ไปเลย น้ำตาไหล ผนังโบสถ์จะพังต่อหน้าต่อตา นี่คือพระไม่มีความรู้ ถ้าท่านมีความรู้ท่านจะทำไหม ท่านไม่ทำ
hhh
เพราะฉะนั้น พุทธศิลป์ เป็นเรื่องในพุทธธรรม หมายความว่าศิลปินสร้างพุทธศิลป์เพราะการศึกษาในพุทธธรรม พุทธธรรมจะปรากฏก็เพราะอาศัยศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์พุทธศิลป์ แล้วใครจะรักษาพุทธศิลป์ไว้ ก็ต้องเป็นพระที่มีการศึกษาอย่างดีที่สุดถึงจะรักษาไว้ได้ เพราะฉะนั้นพุทธธรรมและพุทธศิลป์เชื่อมโยงโดยพระสงฆ์ที่เป็นผู้รู้ธรรม” เพื่อให้ประเทศไทยของเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ มีงานพุทธศิลป์ที่งดงามเหลือไว้เป็นมรดกของชาติ และเป็นที่น่าชื่นชมในสายตาชาวโลก
gggg
อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้สร้างวัดร่องขุ่น จ.เชียงราย ให้เป็นศิลปะประจำรัชกาลที่ 9 อย่างแท้จริง ได้แนะว่า “ผมพูดเสมอว่าให้เอาพระเอาเจ้าอาวาสมาทั้งประเทศ มาอบรม อธิบายให้ท่านฟังว่า ศิลปะของชาติมันมีความงามอย่างไร ยุคสมัยไหนมันมีความงามอย่างไร มีความเป็นมาอย่างไร เวลาสร้างอะไรควรคำนึงถึงความเป็นเอกภาพ เราจะต้องอธิบายสุนทรียภาพให้พระท่านเข้าใจ เวลาที่ท่านสร้างอะไรจะได้ไม่สร้างมั่วๆ ดูแล้วไม่มีค่า เดี๋ยวนี้วัดสวยๆหลายวัด กลายเป็นสลัมกลายเป็นที่อยู่ของขอทาน คนขี้เหล้า เมายา ติดยาเสพติด นอนอยู่เต็มไปหมด ขี้หมา ขี้แมว และขยะ ก็เยอะ เวลาฝรั่งเข้าไปดู ทนดูไม่ได้ โบสถ์เก่าๆสวยๆก็ไม่ได้รับการบูรณะ กรมศิลปากรก็ไม่มีเงิน รัฐบาลก็ไม่เคยเอาเงินมาสนับสนุน ยกเว้นที่เป็นวัดหลวงจริงๆ ส่วนวัดที่สวยงามรองๆลงไป มีเยอะแยะที่ถูกทำลาย จนเสียหายยับเยิน”
ggg
ปิดท้ายการเสวนาด้วย อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต และ อ.วัลลภิศร์ สดประเสริฐ สองกำลังสำคัญในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดเขาสุกิม, วัดตรีทศเทพ ในนามมูลนิธิจักรพันธุ์ โปษยกฤต อ.จักรพันธ์ ศิลปินแห่งชาติ ปี 2543 สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ได้บอกเล่าถึงความ ศักดิ์สิทธิ์ของการอธิษฐานขอ เพื่อให้สิ่งดีๆที่ตั้งใจทำ เพื่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ ผ่านพ้นไปจากอุปสรรคทั้งปวง “มันมีเรื่องของสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น มันเป็นความสะดวก สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ก็ได้ โดยที่ผมถือว่าเทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆช่วยให้เราได้ในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้”
gggg
ขณะที่ อ.วัลลภิศร์ เสริมว่า “เวลาเราอธิษฐาน เราขอในสิ่งที่เราอับจน หรือแก้ปัญหาไม่ตก เป็นเรื่องของศิลปวัฒนธรรมที่จะทิ้งไว้เป็นมรดกของชาติของประเทศ เราขอพึ่งคุณพระรัตนตรัยเป็นอันดับแรก แล้วเทพยดาทั้งหลายท่านก็มาช่วยปกปักรักษา ซึ่งถามว่าได้ผลไหม ถ้าอยู่ในข่ายเหล่านี้ได้ผลทุกครั้ง”
ggg
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 109 ธันวาคม 2552 โดยมิลิน
huahinhub thnaks
hhh

1.07.2553

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๓๔ (ประเทศไทย ๒๕๕๓ การมองเชิงยุทธศาสตร์)


มองเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศไทย ๒๕๕๓
hhh
การมอง มองได้หลายแบบ เช่น มองเชิงลบ มองเชิงบวก มองเชิงวิเคราะห์ หรือมองเชิงชำแหละ มองเฉพาะด้านหรือมองด้านเดียว มองสองด้าน ฯลฯ การมองอย่างไรมีผลมากต่อการได้อย่างนั้น เช่น การชำแหละก็จงทำให้ขาดจากกันเป็นส่วน ๆ ดังเช่น การชำแหละสุกร ชำแหละโค ทำให้หมดชีวิต การมีชีวิตเกิดจากการเชื่อมโยง
hhhh
การมองเชิงยุทธศาสตร์หมายถึง การมองเพื่อการปฏิบัติไปสู่ผลสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น วจีสุจริตที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นอันมากในพระไตรปิฎกว่าการจะพูดสิ่งใดนั้นต้อง (๑) เป็นความจริง (๒) พูดเป็นปิยวาจา (๓) พูดถูกกาละเทศะ (๔) พูดแล้วเกิดประโยชน์ วจีสุจริตตามที่ตรัสสอนนี้อาจเรียกว่าเป็นการพูดเชิงยุทธศาสตร์ก็ได้ เพราะมุ่งที่การเกิดประโยชน์ ไม่ใช่สักแต่ว่าเป็นความจริงก็พูด (อย่าว่าแต่เอาความไม่จริงไม่พูดเลย) ถึงเป็นความจริงถ้าไม่ถูกกาละเทศะก็ไม่พูด เพราะพูดเพื่อให้เกิดประโยชน์ไม่พูดเพื่อความสะใจหรือเพื่อระบายอารมณ์หรือเพื่อทำร้ายคนอื่น ฯลฯ วจีสุจริตจึงเป็นเรื่องทำได้ยาก เพราะคนส่วนใหญ่มีอารมณ์และพูดตามอารมณ์ วจีสุจริตต้องมีสติกำกับจึงจะทำได้ ต่อไปนี้คือการมองประเทศไทย ๒๕๕๓ เชิงยุทธศาสตร์
hhhh
๑. ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง
ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ โดยไม่แก้โครงสร้าง ในรอบ ๑๐๐ ปี ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะทำอะไรดี ๆ กันมากพอสมควร แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้ ปัญหาพื้นฐานคือ ความยากจนและความอยุติธรรม ความยากจนเกิดจากขาดความเป็นธรรม ประเทศไทยขาดความเป็นธรรมทุกทางทั้งทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางกฎหมาย ทางการเมืองการปกครอง การขาดความเป็นธรรมเกิดจากโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาเชิงโครงสร้างส่งผลแรงมากและแก้ไขได้ยาก การพยายามแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยไม่แก้โครงสร้างนั้นไม่ได้ผลจีรังยั่งยืน ส่งผลให้คนไทยขัดแย้งกันมากขึ้นจนมาถึงปากเหวที่อาจเกิดความรุนแรงนองเลือด
hhhh
ท่ามกลางปัญหาที่ซับซ้อนและยากนี้ ไม่มีรัฐบาลใด ๆ ที่จะแก้ปัญหาได้ รวมทั้งรัฐบาลทักษิณที่มีนายกรัฐมาตรีที่มีอำนาจมากที่สุดก็ไม่สามารถสร้างสังคมสันติสุขได้ ฉะนั้นจึงไม่ควรคาดหมายว่ารัฐบาลใด ๆ จะแก้ปัญหาได้ แต่คนไทยทุกภาคส่วนควรทำความเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างและใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสที่จะก้าวข้าม (Transcend) ความขัดแย้งไปสู่จุดลงตัวใหม่ โดยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
hhhh
๒. สี่ก๊กค้ำยันกันไม่มีใครกินรวบได้
สภาพการต่อสู้ทางการเมืองระดับบนเหมือนสงคราม ๔ ก๊ก ซึ่งค้ำยันกันไม่มีก๊กใดก๊กหนึ่งกินรวบได้ คือ
(๑) ก๊กกองทัพ ก๊กกองทัพมีอำนาจทางการเมืองมานาน แต่ปัจจุบันการรัฐประหารทำได้ยากและไม่ควรทำ จะมีคนต่อต้านมากและปกครองไม่ได้ แต่ก๊กนี้ก็มีอำนาจทางการเมืองมาก
(๒) ก๊กคุณทักษิณ (ก๊กสีแดง) เป็นก๊กที่มีพลังและอิทธิฤทธิ์มาก เคยถืออำนาจรัฐสูงสุดและใช้อำนาจมาก แต่ในสังคมสมัยใหม่ที่ซับซ้อนการใช้อำนาจอย่างเดียวไม่สามารถฝ่าความเสียดทานไปสร้างสังคมสันติสุขได้ เพราะเกิดแรงต้าน แรงต้านที่แรงที่สุดมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำให้คุณทักษิณไม่สามารถกินรวบได้ การพลาดไปทั้ง ๆ ที่มีโอกาสสูงทำให้กลับมามีอำนาจอีกได้ยาก แต่ก็ทรงพลังอย่างยิ่งที่จะต่อต้านก๊กอื่น ๆ ไม่ให้กินรวบได้
(๓) ก๊กพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ก๊กสีเหลือง) ก๊กนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อสู้ไม่ให้คุณทักษิณกินรวบ เป็นการรวมพลังของประชาชนที่แข็งแรงที่สุดที่ทำให้คุณทักษิณแม้ทรงอานุภาพเพียงใดก็อ่อนกำลังและเพลี่ยงพล้ำลงได้ แต่ก๊กนี้ก็มีศัตรูดังที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำถูกลอบยิงเพื่อสังหาร พันธกิจของก๊กเหลืองคงจะเพื่อป้องกันคุณทักษิณกลับมามีอำนาจ มากกว่าตัวเองจะเข้าไปมีอำนาจทางการเมืองเสียเอง
(๔) ก๊กประชาธิปัตย์และพันธมิตรพรรคการเมืองที่ไม่ใช่ทักษิณ นำโดย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก๊กนี้ถืออำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน ที่ต้องอาศัยความสนับสนุนจากเครือข่ายที่ไม่เอาทักษิณ รัฐบาลต้องประสบการต่อต้านจากก๊กแดงทุก ๆ ทาง ซึ่งทำให้บริหารบ้านเมืองได้ยาก และไม่สามารถปกครองบางพื้นที่ได้
hhh
ทั้ง ๔ ก๊กค้ำยันกันอยู่ไม่มีก๊กไหนกินรวบได้ ในสภาพอย่างนี้ข้อเสียก็คือ ทำให้พัฒนาบ้านเมืองได้ยาก ข้อดีก็คือไม่มีก๊กใดก๊กหนึ่งกินรวบได้หมด ถ้ากินรวบได้หมดก็จะไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ซึ่งก็จะวิกฤตอีก ในสภาพการค้ำยันกัน ๔ ฝ่าย ถ้าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงนองเลือดได้ หน้าต่างแห่งโอกาสอาจเปิดที่ทำให้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ด้วยสันติวิธี ฉะนั้นเรื่องเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดคือ ป้องกันความรุนแรงนองเลือด
hhh
๓. ภารกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดคือ ป้องกันความรุนแรงนองเลือด
หากเกิดความรุนแรงนองเลือด กองทัพก็คงจะเข้ามาปราบจลาจลและยึดอำนาจเกิดการปกครองแบบเผด็จการ แต่ก็จะไปไม่รอด เพราะประชาชนจะรวมตัวกันต่อสู้ บ้านเมืองจะประสบความยุ่งยากและถอยหลังไปอีกนาน ฉะนั้นภารกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดของทุกฝ่ายคือ การป้องกันความรุนแรงนองเลือด ไม่ควรจะมีใครที่คิดจะมีอำนาจโดยตั้งใจก่อเหตุการณ์ให้มีผู้เสียชีวิต ชีวิตแต่ละชีวิตมีค่ามาก ไม่ควรจะมีใครคิดให้มีคนตายเพื่อปูทางไปสู่อำนาจ เพราะจะบาปมากและไม่มีทางทำได้สำเร็จ ในสภาพที่ยากและค้ำยันกันอยู่นี้ไม่มีก๊กใดจะทำได้สำเร็จ โดยใช้ความรุนแรงโค่นล้มก๊กอื่น มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะทำให้ทะลุความติดขัดที่ยากนักหนาไปได้ ไปดูเถอะอินเดียได้อิสรภาพเพราะการต่อสู้ด้วยสันติวิธีที่นำโดยมหาตมะคานธี แอฟริกาใต้พ้นจากความติดขัดแห่งการปกครองแบ่งแยกผิวได้โดยสันติวิธีที่นำโดยเนลสัน แมนเดลา สหรัฐอเมริกามาถึงจุดที่คนผิวดำอย่างโอบามาเป็นประธานาธิบดีได้เพราะกระบวนการต่อสู้ด้วยสันติวิธีของคนดำที่นำโดยมาร์ติน ลูเธอร์คิง
hhhh
คนไทยทั้งปวงควรทำความเข้าใจว่า เราไม่มีทางออกจากสภาพวิกฤตสุด ๆ ด้วยความรุนแรงและต้องช่วยกันทุกวิถีทางที่จะป้องกันความรุนแรงนองเลือด เพื่อจะให้เวลาประเทศไทยในการหาทางออกด้วยสันติวิธี ถ้ารัฐบาลไม่เป็นผู้ใช้ความรุนแรงเสียเองก็จะไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นความรุนแรงโดยรัฐ (State violence) ก็จะรุนแรง ลองทบทวนประวัติศาสตร์ของความรุนแรงดูเถิดครับจะพบความรุนแรงโดยรัฐ ทุกฝ่ายควรสนับสนุนและร่วมมือกับรัฐบาลที่ไม่ใช้ความรุนแรง และช่วยกันสอดส่องป้องกันและระงับความรุนแรง ประเทศไทยต้องดำเนินไปบนสันติวิธี
hhhh
๔. การทำงานเชิงรุกของนายกรัฐมนตรีในปี ๒๕๕๓
ในปี ๒๕๕๒ เนื่องจากยุทธการป่วนบ้านป่วนเมือง รัฐบาลต้องทำงานในเชิงตั้งรับในปี ๒๕๕๓ ถ้าสามารถป้องกันความรุนแรงนองเลือดดังกล่าวในข้อ ๓ นายกรัฐมนตรีน่าจะสามารถทำงานเชิงรุกได้ เช่นใน ๘ ประเด็นดังต่อไปนี้
hhh
(๑) สร้างกลุ่มทำงานยุทธศาสตร์ของนายกรัฐมนตรีหรือ PMDS (Prime Minister Delivery System) รัฐบาลต่างๆ ไม่มีเครื่องมือทำงานให้เห็นผลโดยรวดเร็ว จาก ครม. หรือจากความริเริ่มของนายกรัฐมนตรีก็ส่งไปให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง กระทรวงเป็นกลไกทางดิ่งและแยกส่วนไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้ผล ยากที่จะเกิดความสำเร็จ นายกรัฐมนตรีต้องมีทีมนักทำงานทางยุทธศาสตร์ที่มีความสามารถสูง ทำงานในเรื่องที่ต้องการผลสำเร็จสูง ให้สำเร็จเป็นเรื่องๆ ไป มิฉะนั้นถึงมีความคิดดีก็ไม่เกิดผล
hh
(๒) ยุทธศาสตร์การสื่อสาร ประเทศมีเครื่องมือสื่อสารมาก แต่ขาดยุทธศาสตร์การสื่อสาร ถ้าสามารถสื่อสารให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง ใช้ความรู้ ใช้เหตุผล และประชาชนสามารถเป็นผู้สื่อสารเอง จะเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยและสร้างความเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างมีคุณภาพและสร้างสังคมสันติสุขได้
kkkk
(๓) ยุทธศาสตร์ฐานพระเจดีย์ สร้างสวรรค์บนดินใน ๗๖,๐๐๐ หมู่บ้าน ๗,๖๐๐ ตำบล ความล้มเหลวของประเทศไทยในทุกด้านเกิดจากการสร้างพระเจดีย์จากยอด ไม่มีพระเจดีย์องค์ใดสร้างสำเร็จจากยอด เพราะอะไรที่ไม่มีฐานก็จะพังลงๆ ประเทศไทยพัฒนาทุกอย่างจากยอด ใช้อำนาจจากบนลงล่าง (Top down) จึงไม่สำเร็จ ฐานพระเจดีย์ของสังคมคือชุมชนท้องถิ่น เรามีหมู่บ้านทั้งหมดประมาณ ๗๖,๐๐๐ หมู่บ้าน และประมาณ ๗,๖๐๐ แห่ง ไม่เป็นการยากเลยที่จะส่งเสริมให้ทุกหมู่บ้านและตำบลเข้มแข็งทุกด้านอย่างบูรณาการ หมู่บ้านและตำบลที่มีการพัฒนาอย่างบูรณาการจะมีสุขภาวะประดุจสวรรค์บนดิน เมื่อฐานของสังคมเข้มแข็งและสงบสุขก็จะรองรับให้สังคมทั้งหมดหายวิกฤต ประชาธิปไตยชุมชนท้องถิ่นจะทำให้ประชาธิปไตยระดับชาติมีคุณภาพและมั่นคง
kkkk
(๔) ยุทธศาสตร์สังคมเข้มแข็งและนวัตกรรมทางสังคม โครงสร้างของประเทศที่ภาครัฐมีอำนาจมาก (รัฎฐานุภาพ) ภาคเงินมีอำนาจมาก (ธนานุภาพ) แต่ภาคสังคมอ่อนแอ เป็นโครงสร้างที่เสียศูนย์และไม่สามารถทำให้เกิดความเป็นธรรมได้ ต้องส่งเสริมภาคสังคมให้มีอำนาจมาก (สังคมานุภาพ) โดยรวดเร็ว มิฉะนั้นทำอย่างไร ๆ ความเป็นธรรมก็ไม่เกิดและประเทศไม่หายวิกฤต ทั้งนี้โดยสนับสนุนให้มีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดสังคมทางราบหรือประชาสังคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจดี การเมืองดี และศีลธรรมดี ควรส่งเสริมนวัตกรรมทางสังคม และนวัตกรรมเพื่อสังคม
jjjj
(๕) ยุทธศาสตร์ความโปร่งใสและขจัดคอร์รัปชั่น ปัญหาคอรัปชั่นเป็นเหมือนมะเร็งที่กัดกินประเทศไทย คนไทยต้องร่วมกันขจัดคอรัปชั่นให้ได้ รัฐบาลต้องทำให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินที่สาธารณะสามารถตรวจสอบได้ สนับสนุนให้สื่อมวลชนสามารถทำข่าวเชิงสืบสวนได้ สร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมือง นำระบบราชการออกจากการครอบงำโดยสิ้นเชิงจากนักการเมือง สนับสนุนความเข็มแข็งของ ปปช. ภาคประชาชนอย่างจริงจัง ถ้ารัฐบาลไม่เอาจริง ปัญหาคอรัปชั่นจะล้มรัฐบาลทุกรัฐบาล
kkkk
(๖) ยุทธศาสตร์ผนึกประเทศอาเซียนและเตรียมตัวโลกเปลี่ยนขั้ว ถ้าประเทศอาเซียน ๑๐ ประเทศ ผนึกกันจะมีประชากรเป็น ๒ เท่าของสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยอยู่ตรงศูนย์กลางอาเซียนควรมีบทบาทนำในการผนึกอาเซียน ประเทศจีนกำลังเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นสัญญาณบ่งว่ากำลังจะเกิดขั้วเอเซียซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เปลี่ยนแปลงจากการที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางของโลกอยู่เพียงขั้วเดียว
การที่โลกเปลี่ยนขั้วนี้จะมีผลกระทบมหาศาลทุก ๆ ทาง ประเทศไทยควรรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ประดุจการเคลื่อนของเทคโทนิคเพลตนี้ เพื่อป้องกันผลกระทบทางลบ และเพิ่มประโยชน์ทางบวก ประเทศไทยต้องผนึกกำลังคนจากสาขาต่างๆ ทำยุทธศาสตร์ชาติในการวางตำแหน่งประเทศไทย ¬(Positioning) ในภูมิศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจอย่างที่ทำให้ประเทศไทยเข็งแรง เป็นผู้ใหญ่ได้ประโยชน์มหาศาล และช่วยประเทศอื่นๆ อย่างน้อยในภูมิภาคนี้ให้มีความก้าวหน้าและสันติสุข ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่อย่างนี้เรื่องฮุนเซนก็จะกลายเป็นเรื่องเด็กเล็กที่เกเร ซึ่งจะหมดไปกับความเป็นอนิจจัง
kkkk
(๗) ยุทธศาสตร์จิตสำนึกใหม่ ความยุติธรรม และสันติภาพ จิตสำนึกเก่าที่เล็กและคับแคบเป็นปัญหาทั้งของไทยและของโลกที่นำมนุษย์มาสู่วิกฤตการณ์จิตเล็กทำให้มองใกล้ใจแคบ เกิดความขัดแย้งและรุนแรง ในขณะที่จิตใหญ่ทำให้มองไกลใจกว้าง ทำให้เป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ จึงควรมีการปฏิวัติจิตสำนึก ความยุติธรรมเป็นเครื่องทำให้อยู่ร่วมกันด้วยสันติ ประเทศต้องปฏิรูประบบความยุติธรรม สันติภาพเป็นทุนและผลอันยิ่งใหญ่ของการพัฒนา ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับโลกอิสลาม ถ้าประเทศไทยตั้งรับจะถูกดึงเข้าไปสู่ความขัดแย้งซึ่งเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง จึงควรปรับยุทธศาสตร์เป็นรุกเพื่อสันติภาพ ควรรวมตัวกันสร้างสมรรถนะเรื่องสันติสุขและตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจด้านสันติภาพ
kkkk
(๘) ยุทธศาสตร์การเงินการคลังเพื่อการพัฒนา ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพแก้ปัญหาเก่าไม่ได้ และปัญหาใหม่อันซับซ้อนโถมถั่งเข้ามา กลไกการทำงานแบบเดิมๆ ของประเทศไม่มีกำลังพอ หรือกลับเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาทั้งเก่าและใหม่ ทำให้ไทยวิกฤตสุดๆ อย่างในปัจจุบัน มีความจำเป็นที่จะแสวงหากลไกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ กลไกการเงินการคลังมีพลังมหาศาล ยุทธศาสตร์การเงินการคลังเพื่อการพัฒนาจะทำให้เราก้าวพ้นข้อจำกัด (Transcend) ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้ เพื่อนำประเทศออกจากวิกฤตไปสู่การลงตัวในระนาบใหม่ ที่กล่าวข้างต้น ๘ ประการไม่ได้ครอบคลุมเรื่องที่ควรทำทั้งหมด แต่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นทิศทางใหม่ประเทศไทย บนสันติวิถี ที่จะดึงคนไทยทุกภาคส่วนเข้ามาถักทอ สร้างจินตนาการใหม่ สร้างจิตสำนึกใหม่ สร้างโครงสร้างใหม่ สร้างสมรรถนะใหม่เพื่อการพัฒนาอย่างมีดุลยภาพ ดุลยภาพทำให้เกิดปรกติสุขและความยั่งยืนโลกวิกฤตเพราะการพัฒนาที่ขาดดุลยภาพทุก ๆ ด้าน ร่วมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ดังกรณีปัญหาโลกร้อนที่กำลังคุกคามสรรพชีวิตบนพื้นพิภพ การพัฒนาอย่างมีดุลยภาพจึงมิได้สำคัญเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่สำคัญสำหรับโลกด้วย ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้
kkk
ระบบสังคมที่มีดุลยภาพมีความละเอียดอ่อนในทุกมิติ ไม่สามารถสร้างได้โดยการโค่นล้มหรือยึดอำนาจ เพราะถึงยึดอำนาจได้ก็ทำไม่เป็น แนวทางที่เสนอมานี้คือการเปลี่ยนแปแลงขั้นพื้นฐานเพื่อไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี ด้วยการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เพื่อให้เกิดสมรรถนะใหม่ โครงสร้างใหม่ และความสามารถในการทำให้โครงสร้างใหม่ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีคุณภาพพร้อมกันไปในตัว ผมขอฝากไว้ให้คนไทยพิจารณาด้วยใจอย่างใคร่ครวญ
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub thanks

1.05.2553

| กระตุ้นความคิด ๑๓๒ (Fairtrade)




ร้านเล็ก แต่ใจใหญ่
โดย : วิภานี กาญจนาถิญโญกุล

พูดถึงการค้าแบบเป็นธรรม หรือที่เรียกทับศัพท์กันอย่างคุ้นเคยว่า แฟร์เทรด (Fairtrade) ทีไร หลายคนที่รู้จักแนวคิดนี้ก็มักจะนึกไปถึง--> สินค้าราคาแพงจากเมืองนอก หรือร้านแฟร์เทรดที่เคยพบเห็นเวลาเดินทางไปต่างประเทศ
hhh
วันนี้ ร้านแฟร์เทรดเต็มรูปแบบก็ได้เกิดขึ้นแล้วในเมืองไทย หรือจะว่าไปก็มีมานานกว่า 20 ปีแล้วจากคำบอกเล่าของ ‘แนน’ ณัฐกฤตา พงษ์ธนานิกร 1 ใน 2 หุ้นส่วนแห่งร้าน The Curious Oyster ย่านสวนลุมไนท์บาร์ซาร์ ซึ่งอธิบายหลักการแฟร์เทรดของร้านให้ฟังว่า
hhhh
“หลักการของแฟร์เทรดจะต่างกับการทำการกุศล เรานำอาชีพไปให้ชาวบ้าน ช่วยสนับสนุน หาตลาดขายสินค้า และพัฒนาสินค้าไปพร้อมกัน โดยทำการค้าอย่างยุติธรรมต่อผู้ผลิตที่เป็นผู้ด้อยโอกาส เราจะไม่กดราคา ไม่ผลิตแบบระบบอุตสาหกรรม ไม่ใช้ระบบพ่อค้าคนกลาง ไม่สนับสนุนการใช้แรงงานเด็ก การกดขี่ทางเพศ แต่ใช้การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้คน”
hhhh
ถึงแม้ร้านจะเพิ่งเปิดมาได้เพียง 1 เดือน แต่พ่อของ มาร์ค แซล์มอน หุ้นส่วนอีกคนซึ่งทำธุรกิจด้านนี้มานานถึง 2 ทศวรรษก็คลุกคลีอยู่ในแวดวงนี้มาก่อน โดยที่ผ่านมาจะเน้นการขายตามงานแฟร์ซึ่งทางบริษัทจัดขึ้นเดือนละครั้ง อันเป็นการนำผู้ผลิตจากหมู่บ้านต่างๆ ให้มาออกร้าน พบกับลูกค้าโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย รวมทั้งส่งออกต่างประเทศบ้าง
แตกต่างไปจากการแยกมาเปิดร้านของทั้งสองที่ตั้งใจว่า อยากมีร้านขายปลีก เพราะผู้ผลิตบางรายอยู่ไกลมาก มาร่วมงานไม่สะดวก การมีหน้าร้านยังช่วยให้ได้รู้จักลูกค้า รู้ว่าลูกค้าชอบหรือไม่ชอบอะไร
hhhh
ร้านเล็กๆ ภายในพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรนี้ จึงเป็นฝีมือการปลุกปั้นช่วยกันดูแลของทั้งคู่ แต่ก็มีการแบ่งงานกันทำ โดยมาร์คจะออกไปพบผู้ผลิตตามต่างจังหวัดมากกว่าแนนซึ่งจะเน้นการดูแลร้านที่สวนลุมมากกว่า ส่วนสินค้าภายในร้านนั้นก็มีมากมายหลายประเภทอาทิ เมล็ดกาแฟจากเชียงใหม่ ไม้กวาดชนเผ่า ตะกร้าจากกาน่า ฯลฯ ซึ่งทางร้านรู้จักแหล่งผลิตมาจากการสั่งสมประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจประเภทนี้ มีบ้างบางรายที่เข้ามาติดต่อบริษัทเอง สินค้าที่วางหลากหลายอยู่ในพื้นที่เล็กๆ นี้จึงมาจากทั่วสารทิศ อาทิ งานไม้จากบ้านแฮนดี้คราฟท์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อ HIV และผู้พิการให้มีอาชีพ งานศิลปะเด็กจากมูลนิธิ ณ กิตติคุณ ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนเด็กออทิสติก ที่ในโรงเรียนจะมีผลงานศิลปะเด็กมาขาย อย่างสมุดทำมือปกเป็นการวาดรูปบนผ้าใบสีสวยๆ ของเด็ก งานปั้นชิ้นเล็กๆ เอามาติดแม่เหล็กสำหรับติดตู้เย็น
hhhh
“สินค้ามีทั้งแบบที่ชาวบ้านทำเอง แล้วเราหาตลาดให้ กับมีแบบที่เราเข้าไปช่วยออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ บางทีก็มีดีไซเนอร์อาสาสมัครจากต่างประเทศ เขาก็ติดต่อเข้ามาที่บริษัท แล้วไปอยู่ตามหมู่บ้านช่วยออกแบบและทำผลิตภัณฑ์ออกมา”
hhh
สำหรับดีเจ คลื่นแฟตเรดิโออย่างแนน การแบ่งเวลามาทำธุรกิจด้านแฟร์เทรดเป็นสิ่งที่เธอเพิ่งเข้ามาสัมผัส ซึ่งได้เปิดมุมมองและความรู้สึกใหม่ให้กับเธอ รวมไปถึงลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้าน
hhhh
“คิดว่าการทำธุรกิจมันก็มีความยาก-ง่ายไม่ต่างจากการทำธุรกิจประเภทอื่นอยู่แล้ว แต่พอเราเข้ามาทำตรงนี้ เราก็ได้รู้ว่า ชาวบ้านไทยเก่งจัง! แล้วก็ได้ความรู้สึกดีๆ เวลาที่ทำงาน ส่วนที่ต้องคอยอธิบายให้คนมาร้านเข้าใจเรื่องแฟร์เทรดก็เป็นเจตนารมณ์ของเราอยู่แล้วที่จะบอกไอเดียนี้ให้คนได้รู้จัก”
ggg
อนาคตของร้านเล็กๆ แห่งนี้ เธอจึงตั้งเป้าเอาไว้แบบที่สอดคล้องกับความเป็นจริงว่า
“เราทำธุรกิจ เราก็ต้องให้มันอยู่ได้ด้วยตัวเอง เมื่อร้านเราอยู่ได้ ผู้ผลิตก็อยู่ได้ อย่างที่บอกว่าเราไม่ใช่มูลนิธิ เราก็ต้องทำแบบนี้เพื่อให้มันอยู่ได้ในโลกปัจจุบัน”
jjjj
หมายเหตุ : อ่านข้อมูลการจัดงานแสดงสินค้าที่ www.thaicraft.org หรือโทร 08-1911-2412
ggg
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub thnaks
ggg

1.04.2553

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๓๓ (ห้องน้ำสาธารณะกับสบู่ในนั้น)


สบู่ในห้องน้ำสาธารณะ...ใครว่าไม่สำคัญ
โดย : คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชันแนล

ทั่วโลกต่างเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะระบาดอีกเป็นระลอกสอง โดยทางกระทรวงสาธารณสุขก็มีโครงการรณรงค์ให้คนไทยรู้จักป้องกันโรคดังกล่าว ด้วยสโลแกนที่จดจำง่ายอย่าง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือและสวมหน้ากากอนามัย”อย่างไรก็ตาม ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่รีบเร่งจนบางครั้งอาจไม่ยั้งคิดว่า
เรื่องใกล้ตัวอย่างการล้างมือด้วยสบู่ในห้องสาธารณะ ทั้งในร้านอาหาร ฟิตเนส อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยอาริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สบู่ชนิดกล่องเปิดฝาแบบเติมมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึง 25%

งานวิจัยครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์หาเชื้อปนเปื้อนที่แฝงอยู่ในสบู่ที่ตาคนเรามองไม่เห็น โดยได้มีการเก็บตัวอย่างสบู่จำนวน 541 ตัวอย่างทั้งที่เป็นสบู่เหลวแบบเติม และสบู่เหลวแบบบรรจุภัณฑ์ปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) พบว่า สบู่แบบเติม 133 ตัวอย่าง หรือ 25% มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน 65% ของเชื้อที่พบคือ เชื้อโคลิฟอร์ม ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบมากในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลือดอุ่น ที่มีโอกาสส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ ทั้งในระบบทางเดินหายใจ กระแสโลหิต ระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง ซึ่งสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่มีการเปิดฝากล่องเพื่อเติมสบู่นั่นเอง

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจในการศึกษาในครั้งนี้ก็คือสบู่เหลวที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) กลับไม่พบเชื้อแบคทีเรียเลย เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เราจึงควรหันมาใส่ใจในการล้างมือในที่สาธารณะให้มากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นการล้างมือเพื่อรักษาความสะอาด สร้างเสริมสุขอนามัยที่ดี จะกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมเชื้อโรคไปแบบไม่รู้ตัว


นอกจากการ
ล้างมือด้วยสบู่เหลวแล้ว จากการวิจัยของ American Journal of Preventive Medicine 2001 พบว่า การล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกวิธีอย่างน้อย 5 ครั้งต่อวันก็สามารถลดโอกาสติดเชื้อหวัดได้ถึง 45%
การศึกษาของมหาวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ยังชี้ว่า การใช้กระดาษเช็ดมือทุกครั้ง หลังการ
ล้างมือ ยังสามารถช่วยให้แบคทีเรียลดลงถึง 58% ในขณะที่การใช้เครื่องเป่าลมร้อนพบว่าแบคทีเรียในมือเพิ่มขึ้น 255% อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub thanks

1.01.2553

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๓๒ (ไม่ดื่ม ไม่เมา ไมาขับกันนะ)



huahinhub thanks

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๑๓๑ (การเดินทางของคำจิ่ง)







'คำจิ่ง' ฝันว่าได้ไปโรงเรียนในประเทศไทย 'หมวย' ฝันว่าลูกของเธอคลอดในโรงพยาบาล ที่ประเทศไทย เพื่อว่าลูกของเธอ จะมีสุขภาพดี และแข็งแรง-->
ggg
'คำจิ่ง' ฝันว่าได้ไปโรงเรียนในประเทศไทย 'หมวย' ฝันว่าลูกของเธอคลอดในโรงพยาบาลที่ประเทศไทย เพื่อว่าลูกของเธอ จะมีสุขภาพดี และแข็งแรง
ggg
'ดาว' ฝันว่ามีงานทำ และได้รับเงินเดือนด้วยมือของเธอเอง เธอคิดว่าแม้จะถูกจับในประเทศไทย ก็ยังจะดีกว่า เพราะว่าหลังจากออกจากคุกแล้ว ก็อาจจะมีโอกาสที่จะหางานทำได้ ในเมืองไทย...
ggg
'คำจิ่ง' หญิงสาวจากประเทศพม่า พร้อมกับเพื่อนๆ หลายร้อยคน เดินทางข้ามภูเขาหลายลูก แม่น้ำหลายสาย จนมาถึงชายแดนประเทศไทย เธอใฝ่ฝันที่จะได้เห็นกรุงเทพฯ นครในความฝันของพวกเธอ แต่คำจิ่งและเพื่อนๆ ของเธอ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรข้ามแดน, ผู้ค้ายาเสพติด, โสเภณี, พวกมาแย่งงานคนไทย, และผู้แพร่เชื้อโรคต่างๆ รวมถึง เอชไอวี/เอดส์
ggg
ตุ๊กตา 'คำจิ่ง' เกิดขึ้นจากแนวคิดของ จุมพลและจันทวิภา อภิสุข ศิลปินร่วมสมัยและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน 'คำจิ่ง'เป็นตุ๊กตากระดาษทำด้วยมือของหญิงสาวผู้อพยพข้ามแดนมาจากพม่า พวกเธอสร้างตุ๊กตาเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของเธอเดินทางไปสู่ยังสถานที่ต่างๆ เมืองต่างๆ และเข้าร่วมกิจกรรมที่ความใฝ่ฝันของเธอจะพาไป ตุ๊กตาคำจิ่งคือตัวแทนของแรงงานต่างด้าวจาก พม่า อาข่า ไทยใหญ่ ที่ออกเดินทางจากบ้านเกิดเข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องราวของสิทธิมนุษยชน
ggg
ggg
ggg
ggg
ggg
เริ่มขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2547 เมื่อได้เข้าร่วมประชุมนานาชาติเรื่องโรคเอดส์ที่กรุงเทพฯ หลังจากการประชุมคำจิ่งได้เดินทางไปหลายจังหวัดในประเทศไทย และอีกหลายเมืองในนานาประเทศ อาทิ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ โซล โตเกียว เกียวโต นากาโน่ สต๊อกโฮล์ม เวียนนา เบิร์น ซิดนี่ย์ โตรอนโต แมดดริด มอนทรีอัล เม็กซิโกซิตี้ วอชิงตัน ดีซี มินเนโซตา โคโลญจ์ บาหลี พนมเปญ เป่ยจิง และฮ่องกง ฯลฯ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแรงงานอพยพที่หวังจะมาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในประเทศไทย
ggg
ที่ผ่านมา คำจิ่งหนึ่งร้อยสิบสาม 'คน' ได้รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมใน 98 ครอบครัว ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก คำจิ่งอาศัยอยู่ ทำงาน และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมนุษย์ที่สนับสนุนสิทธิมนุษยชนของผู้อพยพ ggg
ตุ๊กตาคำจิ่งเพิ่งจะกลับมาจากกรุงลอนดอน ที่เธอเดินทางไปเพื่อรับรางวัลนานาชาติ 'อิสระภาพแห่งการสร้างสรรค์' ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา
gg
ตั้งแต่วันนี้ถึง 24 มกราคม 2553 ณ ชั้น 7 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เชิญชมนิทรรศการ 'การเดินทางของคำจิ่ง' การแสดงผลงานศิลปะจัดวาง 'ตุ๊กตาคำจิ่ง' จำนวน 100 กว่าตัว
ggg
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกปทุมวัน หัวมุม ถ.พระราม 1 และ ถ.พญาไท ตรงข้ามห้างมาบุญครอง และสยามดิสคัฟเวอรี่ มีทางเดินเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า สนามกีฬาแห่งชาติ เวลาเปิดบริการ - อังคาร-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) สอบถามโทร.0-2214-6630-8 เว็บไซต์ www.bacc.or.th
ร่วมให้กำลังใจเหล่าคำจิ่ง ก่อนที่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 คำจิ่งทั้งหมดจะเดินทางไปแสดงตัวที่มหานครนิวยอร์ค ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำจิ่งที่
www.empowerfoundation.org
gggg
huahinhub thnaks
ข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ

12.22.2552

| หัวหินประดามี ๓๑ (หัวหิน ฮิลล์ วินยาร์ด)












o
o
o
o
o
o
หัวหิน ฮิลล์ วินยาร์ด: เมื่อเจ้าพ่อกระทิงแดงพาช้างมาเดินเล่นในไร่องุ่น November 23rd, 2009
เรื่อง: พลอย มัลลิกะมาส

หากเอ่ยชื่อเครื่องดื่มชูกำลังยอดนิยมในบ้านเรา คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินคำว่า “กระทิงแดง” เครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์แรกของประเทศไทยที่อยู่ในตลาดมายาวนานกว่า 30 ปี ชื่อเสียงของกระทิงแดงนั้นเป็นที่รู้จักและติดปากคนไทยมาช้านาน กระทั่งยุคหนึ่งในอดีต คำว่า “กระทิงแดง” ได้กลายเป็นชื่อเรียกขาน (Generic Name) แทนคำว่า เครื่องดื่มชูกำลัง” ของคนไทยทั้งประเทศ ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบถึงลูกถึงคนที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2524
การแจกสินค้าให้ลูกค้าได้ทดลองชิมฟรี ถือเป็นวิธีการทำตลาดแบบดั้งเดิมที่นายเฉลียว อยู่วิทยา (*มหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของเมืองไทย 3 ปีซ้อน จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์) ใช้สร้างฐานตลาดให้กับกระทิงแดงมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่มก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนากลายเป็น “Red Bull” (เรดบูล) แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังระดับโลก เมื่อครั้งที่นายดีทริช เมเทสซิทซ์ นักธุรกิจชาวออสเตรีย เดินทางมาประเทศไทยในปีพ.ศ. 2525 และพบว่ากระทิงแดงช่วยให้อาการ Jet Lag ของเขาดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาได้ตัดสินใจขอร่วมลงทุนกับนายเฉลียว ก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH. ขึ้น เพื่อผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม Red Bull ในภาคพื้นยุโรป รวมทั้งส่งออกสู่ตลาดสากลอื่นๆ ด้วย
นอกจากจะเป็นพี่บิ๊กในธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังแล้ว ต่อมา คุณเฉลิม อยู่วิทยา ก็ได้บุกเบิกธุรกิจน้ำเมาขึ้นอีกธุรกิจในนามของบริษัท สยามไวน์เนอรี่ จำกัด ซึ่งหนึ่งในสินค้าน้องใหม่ที่น่าจับตาก็คือ ไวน์ไทย มอนซูน แวลลี่ย์ ที่ผลิตจากไร่องุ่น “หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด” ไร่องุ่นหนึ่งเดียวในบริเวณบ้านคอกช้าง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่แต่เดิมเป็นพื้นที่ที่เคยเป็นไร่สัปปะรดซึ่งมีช้างป่าเอเชียอาศัยอยู่ จนสยามไวน์เนอรี่เข้ามาพัฒนาเป็นฐานการเพาะปลูกพันธ์องุ่นชั้นดี เริ่มต้นจากพื้นที่เล็กๆ เพียง 50 ไร่ ในปี พ.ศ. 2547 จนปัจจุบันไร่องุ่นแห่งนี้เติบโตครอบคลุมพื้นที่กว่า 250 ไร่ และจะขยายพื้นที่ต่อไปอีกจนครบ 1,000 ไร่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ครั้งแรกกับ Agro – Tourism ในหัวหินในวันที่ TCDCCONNECT ไปเยี่ยมชมหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด สายลมและไอแดดอ่อนพัดมาอย่างไม่ขาดสาย ผ่านมาตามเถาองุ่นสีเขียวน้อยใหญ่ที่กำลังรอวันผลิดอกออกผล เสียงฝีเท้าของไกด์เฉพาะกิจร่างใหญ่ใจดี ค่อยๆ ลัดเลาะไปตามแปลงองุ่นที่ทอดตัวท่ามกลางขุนเขาสุดลูกหูลูกตา สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ของการมาเที่ยวหัวหินอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (หรือ Agro – Tourism) นี้ โครงการ หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด นับเป็นไร่องุ่นครบวงจรแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของเมืองชายทะเลหัวหิน ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับทุกขั้นตอนของการผลิตไวน์ไทย เริ่มมากกระโดดขึ้นบนหลังช้างลัดเลาะไปในไร่องุ่น ชมการปลูกองุ่น การหมัก การบ่ม และการชิมไวน์ประเภทต่างๆ อย่างครบถ้วน (ว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากทริปท่องเที่ยวชิมไวน์ในยุโรปตอนใต้หรือออสเตรเลีย เว้นแต่ว่าที่หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ผู้มาเยี่ยมเยือนจะได้สัมผัสกับประสบการณ์พิเศษสุดบนหลังช้างด้วย)

คุณเฉลิม อยู่วิทยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทสยาม ไวเนอรี่ จำกัด กล่าวว่า “การเปิดไร่องุ่นหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ของสยามไวเนอรี่ในวันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมการดื่มไวน์ในประเทศไทยให้แพร่หลาย โดยเรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสเปิดบ้านของเราให้นักท่องเที่ยวได้ชมถึงแหล่งที่มาขององุ่นที่เราใช้ผลิตไวน์ไทยมอนซูน แวลลีย์ และเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ที่สามารถเพาะปลูกองุ่นคุณภาพดีในเขตร้อนได้
นอกจากนั้น เรายังรู้สึกภูมิใจที่สามารถช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้อีกทาง นอกเหนือจากทะเลและชายหาดซึ่งเป็นที่นิยมอยู่แล้ว” การท่องเที่ยวเชิงเกษตรนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อผลักดันให้นักท่องเที่ยวเกิดจิตสำนึกด้านบวก ตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการธรรมชาติ พร้อมทั้งเห็นคุณค่าของผลผลิตการเกษตรเหล่านั้นมากขึ้น
แต่หากจะมองกันในมุมของธุรกิจ Agro – Tourism ก็คือ เครื่องมือชิ้นเยี่ยมทางการตลาด ที่ผู้ประกอบการและผู้ผลิตสินค้าประเภทอาหาร-เครื่องดื่มทั่วโลกนิยมใช้กันในการสร้างแบรนด์และเพิ่มมูลค่าสินค้า สำหรับเจ้าพ่อกระทิงแดงต้นตำรับ “ชิมก่อนซื้อ” คนนี้ Agro – Tourism ในหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด น่าจะเป็นภาคหนึ่งของกลยุทธ์ Experiential Marketing ที่เปิดช่องให้ผู้บริโภคได้ “ลองสัมผัส “ กับสินค้าของเขาก่อนเช่นเดิม ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำสำเร็จมาแล้วกับ “กระทิงแดง” เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน

ทุนนิยมที่เป็นมิตรมากขึ้นอย่างไรก็ดี การรุกล้ำเข้ามาของเงินทุนก้อนใหญ่และระบบ “เกษตรอุตสาหกรรม” ที่แผ่ขยายอย่างรวดเร็วในบริเวณบ้านคอกช้างนั้น แน่นอนว่า ต้องสร้างผลกระทบกับชุมชนและสภาพแวดล้อมดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ไม่ว่าจะต่อวิถีชีวิต การทำมาหากินของผู้คน หรือต่อระบบนิเวศแวดล้อม เช่น พืชพันธ์ที่เคยมีตามธรรมชาติ และฝูงช้างป่าเอเชียที่อาศัยอยู่ในแถบนั้น) ด้วยแรงกดดันทางสังคม และนโยบายเชิงเศรษฐกิจต่างๆ ที่หักมุมไปจากทศวรรษก่อน นี่คงเป็นโจทย์ข้อใหญ่สำหรับธุรกิจยุคนี้ที่จะต้องแก้ให้ตก “คุณจะใช้โมเดลอะไรขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้โดยปราศจากเสียงก่นด่า?”
บริษัทสยามไวน์เนอรี่ดูจะตระหนักถึงอุปสรรคข้อนี้ดี การสร้างอาณาจักรหัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ครั้งนี้ จึงต้องเป็นไปอย่างรอมชอมและเป็นมิตรกับชาวบ้านช้างให้มากที่สุด เริ่มจากการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมเศรษฐกิจของท้องถิ่นโดยรอบ เปิดโอกาสให้คนในชุนชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการพัฒนาธุรกิจทั้งในระบบการเกษตรและการท่องเที่ยว อาทิเช่น นำช้างและคนงานที่มีอยู่แต่เดิมในพื้นที่มาร่วมงาน (ร่วมสร้างรายได้) กับทางไร่องุ่น โดยมองว่าเป็นการกระจายรายได้ของธุรกิจกลับคืนสู่ชุมชนในทางหนึ่ง
ด้วยวิสัยทัศน์และแนวคิดนอกกรอบของคุณเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าพ่อกระทิงแดง/เศรษฐีนักธุรกิจระดับเซียนคนนี้ เราคงต้องคอยดูกันต่อไปว่า หัวหิน ฮิลส์ วินยาร์ด ได้ก้าวเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่
ไวน์ไทยละติจูดใหม่… ท่องเที่ยวเชิงเกษตร… ช้างป่าในไร่องุ่น…
“ใช่” หรือ “ไม่ใช่” สำหรับตลาดยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ น่าติดตาม
huahinhub Thanks

12.21.2552

| กระตุ้นความคิด ๑๓๑ (ดัง..ความเห็น)


เสียงเงียบที่ดังกึกก้อง
โดย : ชณ เศรษฐสาคร
ช่วงมหกรรมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นค่อนข้างชัด นับตั้งแต่วินาทีที่หน้าข่าวบนเว็บไซต์รายงานผลการแข่งขันฟุตบอลชายที่ชาติไทยเราโดนเสือเหลืองมาเลเซียเขี่ยตกที่นั่ง "ราชาลูกหนังแห่งอุษาคเนย์" (ที่คนกลุ่มหนึ่งคิด และพยายามสร้างภาพให้คนไทยคิดตาม) ร่วงในรอบแรกไปด้วยสกอร์ 2-1 กระทู้สรรเสริญเยินยอจากทั่วทุกสารทิศก็ทยอยแปะต่อท้ายข่าวอย่างไม่ขาดสาย

เกลี่ยสายตาดูทั่วๆ บรรดาเว็บไซต์ดังๆ ในชุมชนไซเบอร์สเปซนั้นมีความเห็นหลังข่าวนี้ไม่ต่ำกว่า 100 คอมเมนท์อันที่จริง การแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์มีมาตั้งแต่คนเราเริ่มทำความรู้จักกับอินเทอร์เน็ต เว็บบอร์ดก็กลายเป็นแหล่งรวบรวมความเห็นจากผู้คนในแวดวงต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ความสนใจเดียวกัน ซึ่งอาจถือว่า นี่เป็นเค้าโครงของโซเชียลเน็ตเวิร์ครุ่นแรกๆ ของยุคดิจิทัล

ทั้งเหตุบ้านการเมือง ไปจนถึงสารทุกข์สุกดิบ ก็พากันมากระจุกรวมกันบนพื้นที่เหล่านี้ เนื่องจากความที่สังคมระบบเลขฐานสองเปิดเสรีอย่างเต็มที่ อีกทั้งไม่ต้องแสดงตัวตนบนโลกนอกจอให้เห็น คุณสมบัติข้อนี้จึงทำให้โลกออนไลน์ทวีความนิยมขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงลักษณะเฉพาะออกไป แต่ถึงอย่างนั้นความน่าเชื่อถือก็ยังคงขีดกรอบให้เรื่องบอกเล่าต่างๆ กลายเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มอยู่

กระทั่งวันนี้ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับตานอนชีวิตคนเรา (โดยเฉพาะพวกที่ได้ชื่อว่าคนเมือง) ผูกติดกับคอมพิวเตอร์อย่างชนิดที่แยกกันไม่ออก ลูกเล่น หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้เราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีมากขึ้น การเกิดขึ้นของ โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง ไฮไฟ เฟซบุ๊ค หรือกระทั่งไมโครบล็อกอย่างทวิตเตอร์ ก็ยิ่งช่วยให้คนเราแสดงออกได้ง่ายขึ้น

อีกทั้งความน่าเชื่อถือของสิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์ที่เคยถูกตั้งคำถามวันนี้ได้มลายหายไปส่วนใหญ่แล้ว ข่าวร้อนหลายข่าว ประเด็นดังๆ หลายประเด็น รวมทั้งปรากฏการณ์ทางสังคมใหญ่ๆ หลายครั้งเริ่มมีต้นธารมาจากโลกไซเบอร์มากขึ้น เว็บบอร์ดหลายเว็บกลายเป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนจนแปรสภาพไปเป็นสถาบันที่มีน้ำหนักในการใช้อ้างอิงได้ไปโดยปริยาย

ความแข็งแรงที่เกิดขึ้นของเสียงบนโลกเสมือนที่มักดังเข้ามากระแทกหู (บางครั้งก็แทงถูกใจดำๆ ของใครหลายๆ คน) ผู้คนบนโลกจริง นั่นก็เพราะสิ่งที่ปรากฏเป็นความเห็นตรงหน้าจอนั้น ส่วนใหญ่มาจากความรู้สึกล้วนๆ ไม่ได้มีความหมายแฝง ซึ่งปัจจุบันประเด็นนี้ก็ถูกตั้งคำถามย้อนกลับไปยังโลกไซเบอร์โดยผู้คนบนโลกจริงเช่นกัน ผิดกับสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่อาจถูกความสงสัยว่าเล่นพรรคเล่นพวกเคลือบเอาไว้อยู่ได้ เคสซีเกมส์เมืองเวียงจันทน์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอีกเช่นเคย เสียงก่นด่าเกิดขึ้นมากมายหลังจากฟุตบอลทีมชาติไทยพลาดอะไรต่ออะไร ขณะที่ความเคลื่อนไหวบนหน้ากระดาษทำหน้าที่เพียงรายงานความเคลื่อนไหว (อาจมีวิพากษ์บ้างพองาม) แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ

ไม่แน่ว่าต่อไปในอนาคต เราอาจต้องมานั่งมองกันใหม่ก็ได้ว่า ตั้งแต่กรณีน้องอุ้ม ณ เมืองคานส์ นาธาน โอมาน ผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลทีมชาติไทย และกรณีอื่นๆ กรณีแล้วกรณีเล่า ที่เป็นประเด็นร้อนออนเน็ตนั้น จะกระแทกเข้าสู่ส่วนไหนของสังคม ให้กลายเป็นเสียงเงียบที่ดังกึกก้องต่อไป
huahinhub Thanks กรุงเทพธุรกิจ