5.30.2552

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๗๓ (พิพิธภัณฑ์ของปลอม)








h
h
h
"พิพิธภัณฑ์ของปลอม" รู้จริง! ไม่มั่วนิ่ม
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสินค้าปลอมและเลียนแบบกว่า 500 ชิ้น
hhhhh
ช่วงที่ผ่านมาในบ้านเรามีการจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ลอกเลียนแบบกันจนเป็นข่าวใหญ่โตแถวแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนชื่อดัง ทำให้เรื่องเกี่ยวกับของปลอม ของลอกเลียนแบบ และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในบ้านเราโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง และเพื่อเป็นการตอกย้ำความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างเราๆ ในวันนี้ฉันจึงพามุ่งหน้าสู่ถนนพระราม 3 เพื่อไปยัง "พิพิธภัณฑ์สินค้าปลอมและสินค้าเลียนแบบ ติลลิกี แอนด์ กิบบินส์" หรือ "พิพิธภัณฑ์ของปลอม" ที่ตั้งอยู่ชั้น 26 อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้จัดแสดงสินค้าปลอมและสินค้าเลียนแบบไว้มากมายกว่า 500 ชิ้น พร้อมทั้งสินค้าของแท้เพื่อใช้เปรียบเทียบและให้เราศึกษาควบคู่กันไป

คุณ หัษณา จิรอาภากุล ทนายความแผนกทรัพย์สินทางปัญญา บริษัทติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และผู้ที่ผ่านคดีความทางการละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญามามากมายหลายคดี เล่าให้ฉันฟังว่า ที่สำนักงานกฎหมายติลลิกีแอนด์กิบบินส์ ของเรามีมานานเกือบ 120 ปีแล้ว ทางแผนกทรัพย์สินทางปัญญาได้มีการปราบปรามสินค้าปลอมและเลียนแบบมาหลายคดีนับไม่ถ้วน ทำให้ทางสำนักงานมีสินค้าปลอมและเลียนแบบที่ใช้เป็นหลักฐานในการทำคดีมากมาย ซึ่งได้มากจากการจับกุมบ้างและสินค้าบางอย่างได้มาจากลูกความ เพื่อเป็นหลักฐานในการประกอบการดำเนินคดีบ้าง
hhhhh
จากจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลาทำให้ต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บสินค้าเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และสินค้าเหล่านี้ก็ไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทางสำนักงานจึงจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการศึกษา และผู้ที่ต้องการความรู้ทางเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา และผลตามกฎหมายเกี่ยวกับการปลอมแปลงสินค้าอีกด้วย โดยมุ่งเน้นไปที่เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีความด้านนี้ เช่น นักสืบ ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศุลกากร เป็นต้น เพื่อให้แยกแยะได้ว่าสินค้าใดเป็นของจริง สินค้าใดทำปลอมหรือทำเลียนแบบ ผิดกฎหมายข้อไหนอย่างไร และก็ด้วยด้วยเหตุผลดังกล่าว ในปี พ.ศ.2532 "พิพิธภัณฑ์สินค้าปลอมและเลียน ของติลลิกี แอนด์ กิบบินส์" จึงได้ถือกำเนิดขึ้น

เริ่มแรกสินค้าปลอมและสินค้าเลียนแบบที่รวบรวมไว้มีประมาณ 100 ชิ้น โดยจัดแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่เสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคโทรนิคส์ และเครื่องสุขภัณฑ์ ต่อมามีสินค้าปลอมที่ได้มาจากการจับกุม และตัวอย่างสินค้าของจริงซึ่งลูกความส่งมาให้เป็นหนักฐานในการดำเนินการมีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปัจจุบันมีสินค้าปลอม สินค้าเลียนแบบทั้งเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์กว่า 2,000 ชิ้น แต่เนื่องจากสถานที่ไม่พอจึงมีการหมุนเวียนมาจัดแสดงในบางส่วนเท่านั้น สำหรับสินค้าในพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันสามารถจำแนกเป็นประเภทได้ถึง 15 ประเภทนอกเหนือจาก 4 ประเภทเดิม อาทิ รองเท้า นาฬิกา น้ำหอม ของใช้ภายในบ้าน เครื่องเสียง อะไหล่รถยนต์และเครื่องจักร เครื่องประดับตกแต่ง อาหาร ยา สุรา เคมีภัณฑ์ และเครื่องเขียน

คุณหัษณา เล่าต่อว่า เราจะมีตัวแทนของแบรนด์ต่างๆเยอะมากจากทั่วโลก แล้วแต่เจ้าของแบรนด์ว่าเขาจะเลือกสำนักกฎหมายไหนในการดูแลแบรนด์ของเขาในไทย ในส่วนที่บริษัทเราดูแลมีหลายแบรนด์ เยอะมาก อาทิ Lacoste, Puma, , Benz, Uhu, Shiseido, Adidas, Ferrari, Anna sui, Gucci, Levi’s, Abercrombie, Ferrero Roche, Nokia, Converse, Casio, Play Boy เป็นต้น "เจ้าของแบรนด์อาจจะทราบเองว่ามีโรงงานหรือมีร้านขายของปลอมของเขา หรือไม่เราเป็นคนได้ข้อมูลแล้วแจ้งให้เขาทราบ หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายว่ามีนโยบายปราบปรามหรือไม่ ถ้ามีเราจะส่งนักสืบออกไปสืบไปหาข้อมูลก่อนว่าร้านที่ขายอยู่ที่ไหน ขายอะไรบ้าง จำนวนของที่ขายเยอะขนาดไหน เราต้องมีการเตรียมการหาข้อมูลหลักฐานก่อน แล้วจึงประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอหมายศาลและเข้าไปตรวจค้น"

แต่ไม่ว่าจะปราบปรามจับกุมไปมากเท่าไร ก็ดูเหมือนสินค้าปลอมแปลงเหล่านี้ไม่ได้ลดจำนวนลงเลย เพราะถึงจะจับกุมผู้ขาย แต่ตัวโรงงานผลิตซึ่งส่วนมากจะตั้งอยู่ในประเทศจีน ซึ่งจะผลิตสินค้าปลอมและเลียนแบบแล้วส่งไปจำหน่ายทั่วโลก ปลอมกันตั้งแต่ของใช้ที่ใช้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วยังจะมีของใช้ของจิปาถะอีกมากมายตั้งแต่ดินสอ ไส้แม็ก หนังสือ อาหารการกิน นมผงเด็ก โทรศัพท์มือถือ เครื่องคิดเลข นาฬิกา รถยนต์ ก็ยังมีการปลอมแปลงกัน บ้างก็ลอกแต่เครื่องหมายการค้า บ้างลอกแต่การออกแบบ อย่างเช่น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยี่ห้อ PUMA และ adidas เราก็จะเห็นสินค้าปลอมและเลียนแบบโดยบางครั้งจะเปลี่ยนเพียงตัวอักษรบางตัว เช่น PAMA, TUNA, adids, daiads หรือยี่ห้อ La coste บางครั้งก็ใช้รูปจระเข้กลับข้างกับของแท้บ้าง จระเข้ตาบอดบ้าง แต่คงไว้ซึ่งรูปแบบสีทรงลักษณะเครื่องหมายการค้า โดยมีเจตนาจะลวงขาย หรือเจตนาให้ผู้ซื้อเกิดการเข้าใจผิด

บางสินค้าลอกเลียนแบบภายนอกเหมือนของแท้มาก แต่ต่างกันตรงคุณภาพของสารประกอบ เช่น สินค้าประเภทอาหารและยา และเครื่องสำอาง ซึ่งผู้บริโภคอาจจะไม่รู้ตัวว่าซื้อของปลอมหรือเลียนแบบมาบริโภค ซึ่งการผลิตอาจจะใช้วัตถุดิบ ส่วนประกอบที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือใส่สารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายลงไปผสมอยู่ หากบริโภคเข้าไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง แพ้ คัน อาเจียน ท้องเสีย หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้ หรือพวกของเล่น โมเดลตุ๊กตุ่นตุ๊กตาปลอมหรือเลียนแบบ อาจใช้วัสดุในการผลิตไม่ดี เช่นพลาสติกที่มีอันตราย เมื่อเด็กเอาเข้าปาก เอาไปอม หรือเคี้ยวก็อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นการไม่เคารพต่อผู้สร้างสรรค์ผลงานอีกด้วย

คุณหัษณา ได้ฝากถึงผู้บริโภคทุกคนด้วยว่า "กรุณาใช้ของแท้ แม้ของปลอมและเลียนแบบอาจจะมีราคาที่ถูกกว่าแต่อาจมีผลข้างเคียงที่ไม่คุ้มกับมูลค่าเลยก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังทำให้ประเทศของเราเสียภาพพจน์ เสียดุลการค้า ดังนั้นการเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ทางที่ดีควรพิจารณาเลือกซื้อในแหล่งที่น่าเชื่อถือ ราคา คุณภาพของสินค้า และควรสังเกตชื่อและเครื่องหมายการค้าให้ดี" สำหรับฉันคิดว่า เหตุผลหนึ่งที่ยังมีการขายสินค้าปลอมและเลียนแบบอยู่มากมายเกลื่อนประเทศขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเพราะการปราบปรามบ้านเราไม่จริงจังและไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งผู้ขายก็มียุทธวิธีมากมายหลากหลายในการหลบหนี้หลบหลีก จับยังไงก็ไม่ถึงต้นตอ ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งสกัดกั้นไม่ให้นำสินค้าปลอมและเลียนแบบเข้ามาในไทย และปราบปรามจับกุมผู้ขาย และทำลายสินค้าเหล่านั้นให้สิ้น
hhhh
แต่สำหรับผู้บริโภคทั้งหลาย หากข้องใจว่าสินค้าที่ใช้อยู่เป็นของแท้หรือเทียม เป็นพาดา(PADA) หรือ ป้าดา, พูมา(PUMA) หรือ ทูนา(TUNA), ไนกี้ (NIKE) หรือ ไฮกี้(HIKE), PLAY BOY หรือ PAY BOY, NOKIA หรือ NOKIE, Gucci หรือ Guci, LACOSTE หรือ LACCOSTE ล่ะก็ไปหาคำตอบกันได้ที่ "พิพิธภัณฑ์สินค้าปลอมและเลียน ของติลลิกี แอนด์ กิบบินส์"ตั้งอยู่ชั้น 26 อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ ถ.พระราม 3 ช่องนนทรี ยานาวา กรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-17.00 น. และต้องโทรนัดล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมวิทยากร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและโทรนัดล่วงหน้าที่ โทร. 0-2653-5555
hhhh
จากภาพ
๐ ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า LACOSTE ล้วนเป็นของปลอมและเลียนแบบทั้งสิ้น
๐ หมวกและเข็มขัดแนวๆ ก็มีปลอมและเลียนแบบกันมากมาย
๐ ร้องเท้าของปลอม เลียนแบบจากยี่ห้อดังต่างๆ ทั้ง Converse, Adidas, PUMA
๐ หนังสือก็ไม่เว้นยังมีปลอมและเลียนแบบกันเกลื่อนตลาด
๐ แม้แต่สินค้าพวกผงซักฟอก ผ้าอนามัย น้ำยาซักผ้า ก็มีทำปลอมและเลียนแบบ
๐ GUCCI อีกแบรนด์เนมชื่อดังที่ถูกปลอมและลอกเลียนแบบเยอะมาก
๐ Ferrari อีกหนึ่งตราสินค้าที่ทางบริษัทติลลิกีแอนด์กิบบินส์รับผิดชอบ
๐ โมเดลตุ๊กตุ่นที่ใช้วัสดุ เช่น พลาสติกไม่ได้คุณภาพหากเด็กนำเข้าปากอาจเป็นอันตรายได้
๐ ดินสอ ไส้แม็ก เครื่องคิดเลข ก็ปลอมได้เนียนจนแยกไม่ออก
hhhh
ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์
huahinhub Thanks
kkkk

5.29.2552

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๗๕ (Oopsstuff’ อโรม่าใส่ไอเดีย สู่ของแต่งบ้านพ่วงกลิ่นสร้างบรรยากาศ)





‘Oopsstuff’ อโรม่าใส่ไอเดีย สู่ของแต่งบ้านพ่วงกลิ่นสร้างบรรยากาศ
hhh
สินค้าจำพวกเครื่องหอม ณ เวลานี้ในประเทศไทยถือว่าได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จากวิถีคนไทยที่เปลี่ยนไป มีความพิถีพิถันกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ทำให้กลิ่นหอมที่ช่วยผ่อนคลาย รู้สึกสดชื่น จึงกลายเป็นเทรนด์ที่คนไทยให้ความสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจเครื่องหอมมาแรง มีผู้ประกอบการหลายรายที่สนใจทำงานด้านนี้ ดังนั้นการแข่งขันด้วยไอเดียที่แปลกใหม่ ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อทำให้ธุรกิจอยู่รอด อย่างแบรนด์ “Oopsstuff” ที่ผสมผสานเครื่องหอมเข้ากับไอเดียการออกแบบสินค้าที่โฉบเฉี่ยว โดนใจต่างชาติทั้งเอเชียและยุโรป

นกุล เตชะพุทธิพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายออกแบบสินค้า เล่าว่า ธุรกิจนี้เกิดจากความชื่นชอบในงานศิลปะ แม้ตนเองจะไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ก็ตาม โดยเรียนจบมาทางด้านครุศาสตร์ แต่ด้วยใจรัก และความใฝ่รู้จึงไปศึกษาเพิ่มเติมด้านเซรามิก และกราฟฟิกดีไซน์ ทำให้ที่ผ่านมาคลุกคลีอยู่ในวงการสิ่งพิมพ์นานกว่า 12 ปี ก็เริ่มรู้สึกอิ่มตัว ต้องการทำงานที่เป็นชิ้นงาน จับต้องได้มากขึ้น ซึ่งเริ่มต้นจากงานเซรามิกที่ตนมีความรู้อยู่บ้าง แต่เมื่อมาถึงปี 2543 สินค้าถูกลอกเลียนแบบมากขึ้น รวมถึงถูกสินค้าจีนที่มีราคาถูกกว่าเริ่มทะลักเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้คิดหาธุรกิจด้านอื่นทำแทน

“การทำเซรามิกถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างควบคุมต้นทุนการผลิตได้ยาก เพราะการบวนการผลิตต้องขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนของราคาของพลังงานเชื้อเพลิงที่ปรับขึ้น – ลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเมื่อผลิตเป็นชิ้นงานก็มีโอกาสเกิดปัญหาของเสียหายได้ง่าย ดังนั้นทำให้ผมหันกลับมามองประเทศไทยว่ามีวัตถุดิบอะไรที่โดดเด่น และเป็นเรื่องที่เราถนัด ซึ่งการทำเครื่องหอมก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่เราสนใจ โดยเป็นการนำเครื่องหอมมาผสมผสานกับงานเซรามิก เพื่อประโยชน์ใช้สอย ทั้งยังเป็นของตกแต่งบ้านที่สวยงามได้อีกด้วย”

เมื่อตัดสินใจทำสินค้าจำพวกเครื่องหอม การสร้างจุดขายที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ที่ทำสินค้าจำพวกเครื่องหอมเป็นจำนวนมาก ทำให้ นกุล นำความรู้ด้านการออกแบบมาใช้กับผลิตภัณฑ์ เน้นการออกแบบสินค้าให้สามารถเข้าได้กับทุกสถานที่ ซึ่งหากดูผิวเผินแล้ว จะไม่รู้เลยว่าเป็นของตกแต่งบ้านที่ให้กลิ่นหอมภายในบ้านได้ ภายใต้แบรนด์ “Oopsstuff” (อุ๊บส สตัฟฟ์)


“สินค้าของเราจะเน้นที่รูปแบบทันสมัย ราคาอยู่ในระดับกลางๆ เพื่อให้มีฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยเจาะกลุ่มลูกค้าเป็นคนในเมือง วัยทำงาน และวัยรุ่น ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีการพิถีพิถันการใช้ชีวิตมากขึ้น อย่างการจุดเทียนหอมสร้างบรรยากาศ จุดเตาน้ำมันหอมระเหย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ในเมืองไปแล้ว ทำให้ธุรกิจนี้ยังดำเนินต่อไปได้ในตลาด"

ปัจจุบัน สินค้าของ Oopsstuff ถือว่ามีโดดเด่นสูงจากไอเดียการออกแบบ โดยมีฟังก์ชั่นการใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น พวกกุญแจ ดอกไม้ ใบไม้ที่ทำจากกระดาษสา ใช้เป็นตัวนำกลิ่น (Diffuser) สามารถนำมาตั้งบนโต๊ะอาหาร หรือตกแต่งบ้านได้อย่างสวยงาม, น้ำหอมแบบแข็ง ที่บรรจุอยู่ในแพคเกจของถ้วยไอศกรีม โดยทำออกมาเป็นชุด ซึ่งข้างถ้วยจะบ่งบอกถึงอารมณ์ของแต่ละกลิ่นด้วย, โมบายกระดาษหอม, หินหอม, สมุดหอม และ เซน การ์เดน (Zen Garden) ซึ่งลูกค้าในประเทศ อินเดีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ ตอบรับดี โดยเป็นสวนทรายขาวในถาด พร้อมกลิ่นชา ซึ่งเวลาใช้จะมีอุปกรณ์เกลี่ยทราย เพื่อทำสมาธิ เป็นต้น

สำหรับความปลอดภัยของกลิ่นหอมแต่ละกลิ่น ล้วนมาจากธรรมชาติที่ได้ผ่านการผสมสาน และตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัยขณะสูดดม ซึ่งความปลอดภัยดังกล่าว ทาง Oopsstuff ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากขณะนี้สินค้าเน้นไปที่ตลาดส่งออกกว่า 90% ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย แต่ด้วยสถาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ Oopsstuff เริ่มหันกลับมาสนใจตลาดในไทยมากขึ้น จากวิถีชีวิตคนไทยที่เปลี่ยนไป

ส่วนแผนธุรกิจในอนาคตทาง Oopsstuff กำลังมองทำเลเพื่อทำหน้าร้าน รวมถึงออกงานแฟร์ให้มากขึ้น เพื่อทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์และสินค้ามากขึ้น ในขณะที่การออกแบบสินค้าจะเพิ่มความหลากหลายให้มากขึ้น หวังขยายฐานลูกค้าคนไทยให้มากขึ้นเช่นกัน

ตัวอย่างสินค้าต่างๆ ประกอบด้วย
1 กระดาษ และสมุดหอม
2 ถ่านดูดกลิ่นจากเปลือกแมคคาเดเมีย
3 ตุ๊กตาหอมทำจากผ้า
4 น้ำหอม ที่ดอกไม้ทำจากดอกโสน ซึ่งสีของดอกไม้จะมีตามสีของน้ำหอม
5 น้ำหอมแบบแข็งบรรจุในแพคเกจคล้ายถ้วยไอศกรีม
6 น้ำหอมใช้ตัวนำกลิ่นคล้ายธูป
7 Zen Garden ใช้กลิ่นด้วยสร้างสมาธิ
8 ของแต่งบ้านที่มีกลิ่นหอม เพิ่มบรรยากาศให้บ้านเข้าสู่ธรรมชาติมากขึ้น
9 น้ำหอมแบบแท่ง Slurpy
10 พวงกุญแจนิยมนำมาแขวนกระเป๋าเพิ่มความหอมลดกลิ่นอับ
11 ถ่านดูดกลิ่น

ชาวหัวหินท่านใดสนใจ ติดต่อ 0-2930-5556 หรือที่ http://www.oopsstuff.com/
hhh
ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการอนไลน์
huahinhub Thanks
hhhh

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๗๔ (ต่อยอดหมอนขิดไทย)





‘Arthit’ หมอนขิดไทยสไตล์อินเตอร์

หมอนขิดไทยโบราณ หลังได้รับการแต่งตัวใหม่ในรูปแบบสากล เกิดเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างภูมิปัญญาไทยและการใช้งานที่เหมาะสม กลายมาเป็นสินค้าส่งออกไปทั่วโลก
hhhh
โดยผู้ประกอบการที่ถือเป็นหัวหอกนำสินค้าประเภทนี้ไปบุกตลาดโลกสำเร็จ ได้แก่ แบรนด์ Arthit ซึ่งเริ่มต้นจากรับจ้างผลิต ก่อนจะพัฒนาดีไซน์ ควบคู่สร้างแบรนด์ของตัวเองจนสามารถยืนหยัดในเวทีโลกได้สำเร็จ

กิตติ เหมนิลรัตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โกลบอล อลิอันซ์ มาร์เกตติง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายหมอนแบรนด์ Arthit เล่าแรงบันดาลใจว่า ส่วนตัวชอบเครื่องใช้ไทยๆ มานานแล้ว โดยเฉพาะหมอนยัดนุ่นแบบโบราณ ทั้งหมอนหนุน เบาะนั่งบนพื้น หรือหมอนสามเหลี่ยม เพราะรู้สึกว่า นั่ง และนอนสบาย อีกทั้ง เหมาะกับวิถีชีวิตของคนไทย

จากความชอบดังกล่าว เกิดเป็นธุรกิจจริงจังเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว โดยกิตติร่วมกับน้องสาว ว่าจ้างกลุ่มชาวบ้าน ทำหมอนขิดแบบโบราณไปขายส่งต่อให้ลูกค้าต่างประเทศ ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างสูง ในสายตาชาวต่างชาติ ถือเป็นสินค้าที่มีดีไซน์เก๋ เหมาะแก่การใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน เมื่อตลาดให้การตอบรับด้วยดี กิตติต่อยอดธุรกิจโดยพัฒนาสินค้าให้ถูกใจลูกค้ายิ่งขึ้น พลิกโฉมหมอนให้มีสไตล์เป็นสากล ในขณะเดียวกัน สามารถคงเอกลักษณ์แบบดั่งเดิมไว้ได้ด้วย

“ผมอยากจะเพิ่มมูลค่าสินค้า พัฒนาให้มีเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยเอาของเก่ามาดัดแปลงรูปแบบใหม่ๆ เช่น เปลี่ยนผ้าให้มีคุณภาพดีขึ้น ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นเหมาะกับสรีระของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ รวมถึง ปรับรูปแบบให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย เพิ่มเติมองค์ประกอบต่างๆเข้าไป ออกมาแล้วมีความเป็นสากล แต่ก็ยังมองเห็นความเป็นไทยอยู่ด้วย” กิตติ เสริม

ทั้งนี้ นับถึงปัจจุบัน ดีไซน์หมอนแบบต่างๆ มาแล้วกว่า 200 รูปแบบ ทั้งใบใหญ่และใบเล็ก เช่น หมอนอิง หมอนหนุน เบาะนั่ง เบาะนอน โซฟา เตียง ฯลฯ ทั้งหมดเป็นงานแฮนด์เมด ราคาสินค้าเริ่มต้นที่ 2 เหรียญสหรัฐ ถึงสูงสุด 1,000 เหรียญสหรัฐ

สำหรับผ้าที่ใช้ คือ ผ้าฝ้าย เสริมด้วยผ้าอื่นๆ ตามความเหมาะสม เช่น ผ้าไหม เป็นต้น ขณะวัตถุดิบที่ใช้ยัดในหมอน เป็นอีกเอกลักษณ์ที่ยึดถือมาตลอดตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน คือ จะยัดด้วยนุ่นเท่านั้น ไม่มีผสม หรือสอดไส้ด้วยหลอดพลาสติก กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือใยสังเคราะห์ใดๆ ทั้งสิ้น “ส่วนตัวแล้ว ผมชอบเสน่ห์ของนุ่น ที่มีทั้งความนุ่มและแน่น แถมยังคงทน ที่สำคัญเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติแท้ๆ ถูกใจลูกค้าต่างชาติที่จะให้ความสนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ น้อยรายจะใช้นุ่นทั้งหมด เพราะขั้นตอนการผลิตยุ่งยาก อีกทั้งต้นทุนผลิตสูงกว่าหลายเท่าตัว” เจ้าของธุรกิจ เผย

หลังจากสินค้าประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดต่างประเทศ ย่อมหนีไม่พ้นมีผู้ผลิตรายอื่น ทำสินค้ารูปแบบใกล้เคียงกันออกมาแข่งขัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตระดับชุมชน ผลิตหมอนแบบใกล้เคียงกัน แต่ราคาถูกกว่าครึ่งออกสู่ตลาดจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม กลุ่มต่างๆ เหล่านี้แทบทั้งหมดไม่สามารถประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน เพราะประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง อีกทั้ง ไม่สามารถควบคุมมาตรฐานสินค้าให้สม่ำเสมอ และขาดประสบการณ์ในการส่งสินค้าไปตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป ซึ่งมีกฎระเบียบเข้มงวดอย่างยิ่ง ทั้งขั้นตอน และเอกสาร รวมถึงคุมเข้มด้านมาตรฐานความปลอดภัย

“การส่งสินค้าไปแต่ละประเทศ จะมีกฎระเบียบแตกต่างกันไป โดยเฉพาะการส่งสินค้าที่เป็นวัตถุธรรมชาติอย่างนุ่น จะมีขั้นตอนการตรวจสอบโดยละเอียด ดังนั้น ถ้าขั้นตอนการผลิตไม่ได้มาตรฐานจริงๆ รวมถึง ไม่มีประสบการณ์ในการทำตลาดต่างประเทศมาก่อน ยากจะประสบความสำเร็จ จุดนี้ ทำให้คู่แข่งรายอื่นๆ ยังไม่สามารถจะมาเจาะตลาดต่างประเทศแข่งกับเราได้” เจ้าของธุรกิจ เผย

นอกจากนั้น เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และเสริมความเข้มแข็งให้ธุรกิจ เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ได้สร้างแบรนด์ของตัวเองภายในชื่อ Arthit ด้วย จากเดิมผลิตตามคำสั่งซื้อ เพื่อขายส่งให้ลูกค้าต่างชาติอย่างเดียว

กิตติ ยอมรับว่า สินค้าประเภทนี้ การแข่งขันสูงมาก อีกทั้ง ไม่ว่าจะคิดแบบใหม่ใดๆ ขึ้นมา ไม่นานจะมีรายอื่นทำรูปแบบใกล้เคียงออกมาขายแข่ง ทางแก้ที่ดีที่สุด ต้องพยายามพัฒนาแบบใหม่ไปเรื่อยๆ อีกทั้ง การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ก็มีส่วนช่วยเสริมการตลาดให้ลูกค้าจดจำได้ดีกว่าผู้ผลิตรายใหม่ๆ

สำหรับสัดส่วนการตลาดนั้น กิตติ เผยว่า 96% จะขายส่งต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป เกาหลี เป็นต้น ส่วนตลาดในประเทศน้อยมาก เนื่องจากสินค้าคนไทยไม่ค่อยให้ความนิยมสินค้าประเภทนี้มากนัก “ผมคิดว่า คนไทยคงคุ้นเคยกับหมอนแบบนี้มานานแล้ว จึงมองไม่ค่อยเห็นคุณค่ามากนัก หลายคน มองว่าเชยด้วยซ้ำ ถึงจะพัฒนารูปแบบใหม่ๆ แล้วก็ตาม ต่างกับชาวต่างชาติ เขาจะชื่นชอบในวัฒนธรรม และอยากจะมีสักชิ้นไว้ในบ้านของเขา” กิตติ กล่าวทิ้งท้าย หากพี่น้องนักธุรกิจชาวหัวหิน สนใจ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ที่ โทร.0-2637-0960 , http://www.gam.thailand.com/
hhh
ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์
huahinhub Thanks
hhhh

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๗๓ (แฮนด์เมด-D I Y)





‘แอพพลิเก้’ แฮนด์เมดขย้ำไอเดีย ทำเองได้แบบชิวๆ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
29 พฤษภาคม 2552 09:51 น.

คำว่า “แอพพลิเก้” (appliqué) เป็นภาษาฝรั่งเศสมีความหมายถึงงานหัตถกรรมประเภทเย็บปักถักร้อย ซึ่งหนุ่มสาวไทยกลุ่มหนึ่ง ได้หยิบคำนี้ มาตั้งเป็นชื่อร้านและชื่อแบรนด์สินค้าของตัวเอง ภายใต้แนวคิด สินค้าทำมือที่สร้างสรรค์จากไอเดีย ออกมาในรูปแบบกึ่งสำเร็จรูป ช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานฝีมือได้เองแบบง่ายๆ เติมเต็มความต้องการคนรุ่นใหม่ที่รักงานแฮนด์เมด

ธวัชชัย เสรีเด่นชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท แฮนด์เวิร์คส จำกัด หนึ่งในหุ้นส่วนร้าน “แอพพลิเก้” เล่าว่า ธุรกิจนี้เกิดจากกลุ่มเพื่อนสนิทที่ต่างเรียนและทำงานในหลากหลายสาขาอาชีพ แต่อยากมาทำธุรกิจร่วมกัน โดยเป็นสินค้าที่ผสมผสานกันระหว่างงานดีไซน์และแฮนด์เมด ลักษณะ D.I.Y (do-it-yourself) ให้ลูกค้าซื้อไปทำด้วยตัวเองได้ง่ายๆ

แต่งเสื้อตามสไตล์ตัวเอง
“ไอเดียธุรกิจ เกิดจากที่พวกเราเห็นว่า งานแฮนด์เมดที่สวยๆ คนที่จะทำได้ต้องมีฝีมือหรือทักษะเฉพาะตัว ที่ใช้เวลาฝึกฝนนาน สำหรับคนทั่วไปแล้วไม่สามารถทำได้ ทั้งที่จริง คนอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดาวัยรุ่นก็อยากทำสินค้าแฮนด์เมดสวยๆ ได้บ้าง พวกเราจึงคิดว่า หากผลิตสินค้างานฝีมือกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งมีดีไซน์แปลกๆ เหมาะกับคนรุ่นใหม่ น่าจะมาช่วยตอบสนองความต้องการในจุดนี้ได้”

พวกเขาใช้ทุนเริ่มต้น จดทะเบียนบริษัทกว่า 4 ล้านบาท เริ่มธุรกิจเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งช่วงปีแรก ถือเป็นการลองผิดลองถูก และทดสอบตลาด โดยเปิดหน้าร้านที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า สินค้าภายในร้านมีทั้งผลิตเอง เช่น ตุ๊กตา พวงกุญแจ ฯลฯ ในรูปแบบแฮนด์เมดกึ่งสำเร็จให้ลูกค้านำไปเย็บ หรือประกอบด้วยตัวเอง รวมถึง นำเข้าวัตถุดิบ และสินค้าแฮนด์เมดต่างประเทศ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นผู้นำตลาดงานประเภทนี้ เช่น ผ้าไหม ลูกปัด ริบบิ้น ฯลฯ

หลังทดสอบผลิตสินค้าหลายๆ ตัว จนที่สุด ได้พระเอกที่ถือเป็นจุดขายประจำร้าน นั่นคือ งาน “iron-on motif” หรือที่คนทั่วไปจะคุ้นเคยในลักษณะแผ่นตัวอักษร หรือตัวการ์ตูนที่ใช้รีดติดบนเสื้อนั่นเอง “งาน iron-on motif เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานฝีมือต่างๆ อยู่แล้ว มีขายกันทั่วโลก รูปแบบจะแตกต่างกันไป ซึ่งของเราเน้นนำมาใส่ดีไซน์ ออกแบบใหม่ให้มีสีสัน รูปแบบสะดุดตา และจัดเป็นชุดต่างๆ เพิ่มความน่าสนใจ นอกจากนั้น ที่สำคัญมาก คือ นำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ตัดรูปทรงต่างๆ ด้วยเลเซอร์ ทำให้ได้งานที่สวยงาม สามารถตัดลวดลายที่ซับซ้อนมากๆ ได้ ซึ่งปัจจุบัน เราเป็นผู้ผลิตรายเดียวในประเทศที่ใช้เทคนิคนี้”

แต่งกระเป๋า
สำหรับตัดรีดที่ผลิตขึ้น เน้นงานผ้ากำมะหยี เพราะให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ และนุ่มนวล ขณะที่คุณสมบัติสามารถติดบนวัตถุสิ่งทอได้ทั้งหมด ขั้นตอนการติดแค่นำตัวรีดลงบนสินค้าที่ต้องการ โดยให้ด้านกาวติดกับสินค้า ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองคั่นกลาง แล้วใช้เตารีด รีดด้วยความร้อนปานกลาง เพียงไม่กี่วินาทีตัวรีดก็จะติดลงบนสินค้าแล้ว ซึ่งความเหนียวแน่นคงทนมีอายุมากกว่า 1 ปี และสามารถซักในเครื่องซักผ้าได้ โดยไม่หลุดร่อนออกมา

เมื่อมีตัวรีดเป็นพระเอกประจำร้านแล้ว สินค้าตัวอื่นๆ ที่ทำขึ้น ล้วนเจาะจงให้เกี่ยวเนื่องกับตัวรีดทั้งสิ้น เช่น เสื้อยืด กระเป๋าผ้า ตุ๊กตา ฯลฯ จะเว้นที่ว่างให้ลูกค้าซื้อตัวรีดแบบต่างๆ มาติดลงบนสินค้าตามใจของตัวเอง ซึ่งตัวรีดมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบตัวเดี่ยว จัดชุด ดีไซน์เป็นตัวอักษร ตัวเลข ตัวการ์ตูน สัตว์ ดอกไม้ ผลไม้ ฯลฯ รวมแล้วมีมากกว่าพันรายการทีเดียว ส่วนราคาสินค้าในร้าน จะแตกต่างกันไป เริ่มต้นที่ 30 บาทถึงสูงสุด ประมาณ 1,000 บาท ได้แก่ กระเป๋าผ้า

ธวัชชัย อธิบายการทำงาน หน้าที่ออกแบบเป็นของหนึ่งในหุ้นส่วนธุรกิจ ซึ่งจบด้านศิลปะคอยเป็นหลักในการวางรูปแบบ ส่วนการผลิตใช้วิธีว่าจ้างโรงงานภายนอก ขณะที่การตลาด สัดส่วนจะแบ่งเป็นขายในประเทศ และต่างประเทศอย่างละครึ่ง โดยตลาดภายในเน้นขายผ่านหน้าร้าน ซึ่งปัจจุบันมี 3 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า สยามสแควร์ ซ.4 และห้างสยามพารากอน ส่วนตลาดต่างประเทศ จะเน้นออกงานแฟร์สินค้าของขวัญ ลูกค้าหลักได้แก่ ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ เป็นต้น

“ร้านแอพพลิเก้ มีแนวคิดหลักต้องการให้คนที่รักงานแฮนด์เมด แต่ยังไม่คุ้นเคยกับงานแฮนด์เมดมากนัก สามารถมาเริ่มต้นได้ง่ายๆ ซึ่งจากดีไซน์ที่แตกต่าง ทำให้เราได้กลุ่มลูกค้าที่กว้างกว่าที่คิดไว้ ตอนแรกวางไว้ที่วัยรุ่น แต่ผลตอบรับที่ผ่านมา คนวัยทำงาน เรื่อยไปถึงสุภาพสตรีวัยผู้ใหญ่ และกลุ่มแม่บ้านก็สนใจงานของเราไม่น้อย ทำให้ผมมั่นใจว่า สินค้าของเรามีศักยภาพที่จะเปิดตลาดได้อีกมาก”

แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจเวลานี้ จะชะลอตัว แต่สำหรับเอสเอ็มอีไทยรายนี้ กลับสวนกระแส ธวัชชัย ระบุว่า ช่วง 3 ปีที่ทำธุรกิจนี้มาถือเป็นเวลาลงทุน จนปัจจุบันผลประกอบการและแนวโน้มธุรกิจดีขึ้นต่อเนื่อง และมีฐานลูกค้าประจำค่อนข้างแน่นอนแล้ว คาดว่าจะคืนทุนและได้กำไรอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งการเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจดังกล่าว คิดว่าเป็นเพราะสินค้ามีจุดต่าง และเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มไม่อิงกระแสตลาด รวมถึง ลูกค้าหลักเป็นผู้มีศักยภาพในการซื้อสูง


สำหรับแผนธุรกิจในอนาคตนั้น จะเร่งทำตลาดให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ผ่านการสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็ง เพิ่มตัวแทนจำหน่าย และออกสินค้าใหม่ๆ สม่ำเสมอ นอกจากนั้น เพิ่มสินค้าสู่กลุ่มของตกแต่งบ้าน เพื่อขยายฐานลูกค้าอีกด้วย หากพี่น้อ
ง หัวหินเราสนใจสามารถติดต่อุรกิจหรือเยี่ยมชมสินค้าของร้านได้ที่ โทร.0-2634-4133 , 08-9199-4634 หรือ www.appliqueshop.com...สวัสดี
ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์
huahinhub Thanks

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๗๒ (สารสกัดธรรมชาติเคลือบผิวไข่ไก่)


“ไข่ไก่สด” กับ “ไข่ไก่ไม่สด” ต่างกันอย่างไร คุณแม่บ้านคงรู้วิธีดูเป็นอย่างดี และบ้านไหนที่รายรับน้อยหน่อยคงรู้อีกว่า ไข่ไม่สดราคาถูกแตกต่างจากไข่ไก่สดกี่เท่า นี่เองที่ทำให้มีการค้นหาวิธีรักษาความสดของไข่ไก่ให้อยู่ได้นานขึ้น โดยคุณภาพไม่ลดลง ที่สำคัญราคาไม่ตกอย่างน่าเจ็บใจ
hhhh
ซึ่งนักวิจัยไทยจากรั้ว ม.เกษตรฯ ทำได้แล้ว ผศ.ดร.ภาณุวัฒน์ สรรพกุล ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุ คณะอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาสารเคลือบผิวไข่ไก่จากสารประกอบโพลีแซคคาไรด์จากพืชเพื่อรักษาคุณภาพความสดของไข่ไก่สดได้แล้ว โดยกำลังอยู่ระหว่างการยื่นจดสิทธิบัตรสูตรการผลิตสารเคลือบผิวไข่ไก่สดอยู่ในเวลานี้
hhhh
ผศ.ดร.ภาณุวัฒน์ เผยว่า นี่จึงเป็นวิธีที่แตกต่างจากในอดีตทีเดียว ซึ่งพ่อค้าแม่ขายจะเคลือบผิวเปลือกไข่ไก่สดด้วยน้ำมันเพื่อลดการคายน้ำอันเป็นสาเหตุทำให้ไข่ไก่เสียความสด และมีน้ำหนักลดลง จากการทดสอบ สารเคลือบผิวไข่ไก่สดจากสารธรรมชาติดังกล่าวจะยืดอายุไข่ไก่ในอุณหภูมิห้องได้นานกว่า 1 เดือน – 1 เดือนครึ่ง และลดการสูญเสียความชื้นตลอดจนน้ำหนักของไข่ได้ถึง 50% โดยไข่ไก่ยังสดและอยู่ในสภาพเกรดเอ หรือราคาดีที่สุด อีกทั้ง สารเคลือบผิวจากธรรมชาติดังกล่าวยังมีความหลากหลายมาก ซึ่งพบแล้วอย่างน้อย 3 ชนิด ที่มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย ขณะเดียวกันยังลดการนำเข้าสารเคลือบผิวไข่ไก่จากต่างประเทศ ซึ่งเก็บไข่ไก่ให้สดได้เพียง 10 -12 วันเท่านั้น
hhhh
“เราสามารถเก็บไข่ไก่ให้สดได้ในอุณหภูมิห้อง วิธีนี้จึงทำให้เราไม่ต้องแช่ไข่ในตู้เย็นจึงประหยัดค่าไฟฟ้า ขณะที่มีต้นทุนการเคลือบอยู่ที่ 0.01% ของราคาไข่ไก่หรือ 0.04 บาท/ฟอง แต่ทำให้ไข่ไก่ราคาไม่ตกตามคุณภาพที่ลดลงได้ดีกว่าวิธีที่ใช้กันในท้องตลาด” นักวิจัยว่า ผศ.ดร.ภาณุวัฒน์ บอกด้วยว่า งานวิจัยนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงในการใช้งานในไทยที่มีการบริโภคไข่ไก่มากถึง 15,000 ล้านบาท/ปีทีเดียว
hhhh
และทีมนักศึกษาจากคณะพาณิชยการและการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเก็บข้อมูลการวิจัยนี้พบว่า มีความคุ้มทุนมากถึง 441% ส่วนก้าวต่อไป ทีมวิจัยจะพัฒนาให้สารประกอบพอลีแซกคาไรด์ดังกล่าวนำไปใช้เก็บรักษาผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ ให้มากขึ้น อาทิ เนื้อสัตว์ และผักสด ซึ่งสามารถขึ้นรูปเป็นฟิล์มรักษาความสดได้แล้ว เช่น การขึ้นรูปซองอาหารหรือเครื่องปรุงรส หรือแม้แต่การนำไปใช้ในกระบวนการผลิตผ้าอนามัย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดงานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุ คณะอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โทรศัพท์ 02-562-5058 หรือโทรสาร 02-562-5046
hhh
ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์
huahnhub Thnaks
hhh

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๗๒ (GREEN CONCEPT บ้านประหยัดพลังงาน)



"Green Concept" 6 แนวทางเพื่อบ้านประหยัดพลังงาน
ตัวอย่างแบบบ้านรักษ์โลกอีกตัวอย่างหนึ่งจากประเทศอังกฤษ
hhh
เป็นเรื่องดี ๆ อีกเรื่องหนึ่งที่นำมาฝากกัน หากครอบครัวของพี่น้องชาวหัวหินท่านใดกำลังมีแผนจะปลูกสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัย ก็มีแนวทางดี ๆ 6 แนวทางที่สามารถช่วยประหยัดพลังงานให้ได้พิจารณาประกอบการตัดสินใจ
hhhh
สาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับ "บ้านประหยัดพลังงาน" มากขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน เป็นเพราะสังคมโลกทุกวันนี้ การได้มาซึ่งพลังงานค่อนข้างสะดวกง่ายดายมากกว่าในอดีต หากแต่ราคาก็ถีบตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาระของหลายคนที่ต้องแบกรับด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้บ้านต้องกลายเป็นสถานที่สิ้นเปลืองพลังงาน และดูดเงินเก็บของครอบครัวไปแทนที่จะนำไปใช้ตามความจำเป็นด้านอื่นๆ
hhh
ศาสตราจารย์ ดร. สุนทร บุญญาธิการ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารประหยัดพลังงาน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีแนวคิดดีดีมาฝากท่านที่ต้องการมีบ้านสบายกัน "เมื่อเราพูดถึงบ้านประหยัดพลังงาน ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนชื้น สิ่งที่ทำให้เราสิ้นเปลืองพลังงานมากเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ ความร้อน ถ้าเราสามารถกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ ก็จะช่วยลดการใช้พลังงานในบ้านไปได้เยอะมากทีเดียว" แนวทางที่สามารถป้องกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้านนั้นมีตั้งแต่ การหาวัสดุก่อสร้างที่สามารถกันความร้อน และความชื้นได้ดี การจัดมุมของบ้านให้ไม่รับแสงอาทิตย์ตรงๆ หรือการปลูกต้นไม้ใหญ่บังแดด "ตัวแปรอะไรที่ทำให้ความร้อนเข้ามาในบ้านได้มาก นั่นก็คือ ดวงอาทิตย์ หากเราจะปลูกบ้านให้อยู่เย็น อยู่สบาย จะต้องคำนึงถึงดวงอาทิตย์ให้มาก ว่าแสงอาทิตย์จะส่องมาทางไหน ช่วงที่แดดจัดๆ เป็นช่วงเวลาใด และปรับแผนผังของบ้านให้เหมาะสม"
เggggg
เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยไกลตัวแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ปัจจัยใกล้ตัวอย่างสภาพแวดล้อมโดยรอบ "นอกจากแสงอาทิตย์ที่ทำให้บ้านร้อนแล้ว หากรอบบริเวณบ้านไม่มีต้นไม้เลย ก็ไม่มีทางเย็นได้เช่นกัน เราจึงต้องทำรอบๆ บริเวณบ้านให้เย็นเสียก่อน ด้วยการปลูกต้นไม้เยอะๆ และจัดแลนสเคปให้เหมาะสม เท่านี้ก็ประหยัดค่าแอร์ไปได้มากแล้ว" หาประโยชน์จากธรรมชาติ การหาประโยชน์จากธรรมชาติดังหัวข้อที่ว่านี้ เป็นเรื่องของสายลมที่พัดไปมาตลอดวันไม่หยุดนิ่ง
hhhh
ดังนั้นการจับทิศทางลมให้ได้ก่อนลงมือปลูกบ้านเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง "เมืองไทยมีทั้งแสงแดดจัดก็จริง แต่เราก็มีลมดีลมเย็นด้วย ถ้าเรานำประโยชน์จากลมธรรมชาติมาใช้ ก็จะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ประหยัดพลังงานให้บ้านได้มหาศาล เนื่องจากอากาศภายในบ้านหมุนเวียน ไม่อับ การถ่ายเทอากาศทำได้ดี" ศ.ดร.สุนทรกล่าวเพิ่มเติม
hhhh
ส่วนปัจจัยที่ผู้ปลูกบ้านต้องคำนึงถึงนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ นั่นก็คือ การเลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ซึ่งมีวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป เลือกเบอร์ที่ประหยัดไฟสูงสุด หรือมิเช่นนั้น ก็ต้องเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นหลัก จึงจะทำให้การประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
kkkk
และปัจจัยสุดท้ายที่ทางผู้เชี่ยวชาญมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงไม่แพ้กันก็คือ การบำรุงรักษา บ้านที่ปลูกด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ราคาแพง แต่การบำรุงรักษาทำได้ยาก มีค่าใช้จ่ายสูง ก็ไม่สามารถรับคำจำกัดความว่าเป็นบ้านประหยัดพลังงานไปได้เช่นกัน
kkk
"ข้อสุดท้ายเป็นคอนเซ็ปต์ของบ้านทุกหลังที่ควรจะมี เพราะการที่สามารถบำรุงรักษาได้ง่ายนั้นหมายถึงความยั่งยืน มั่นคงของบ้านครับ" ศ.ดร.สุนทร กล่าวปิดท้าย สรุปกันอีกทีก่อนจากค่ะ ว่าทั้ง 6 แนวทางที่ผู้ปลูกบ้านควรคำนึงถึงนั้นประกอบด้วย
1. การพิจารณาสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น แสงแดด ต้นไม้
2. การเลือกวัสดุที่ใช้ในการสร้างบ้าน
3. การจัดรูปแบบของบ้านให้เหมาะสม
4. การหาประโยชน์จากธรรมชาติ เช่น
5. การเลือกใช้อุปกรณ์แบบประหยัดพลังงาน หรือมีประสิทธิภาพสูง
6. คำนึงถึงการบำรุงรักษา และความยั่งยืนของบ้าน
hhhh
เท่านี้ สองมือของชาวหัวหินก็จะสามารถช่วยให้โลก "เย็น" ขึ้นได้อีกทางหนึ่งแล้วล่ะ..สวัสดี
hhhh
ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์
huahinhub Thanks
เgggg

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๗๑ (ห้วงเวลาหนึ่งในภาพถ่าย)


เปิดตัว 7 เซเลบริตี้ผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ คุณชายอดัม, ญารินดา, ธนากร โปษยานนท์, เกรซ มหาดำรงค์กุล ฯลฯ ในโครงการ A Moment in Time

อีกโครงการประกวดภาพถ่าย A Moment in Time ซึ่งมีการเปิดตัว 7 เซเลบริตี้ผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ ได้แก่ ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ธนากร โปษยานนท์, เกรซ มหาดำรงค์กุล, พิมดาว พานิชสมัย,ไอยวรินทร์ โอสถานนท์ และญารินดา บุนนาค งานนี้จัดขึ้นที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยคนดังทั้ง 7 ได้มอบผลงานเพื่อการประมูลหารายได้สมทบทุนมูลนิธิโลกสีเขียว
hhh
หนึ่งใน เซเลบ พิมดาว พานิชสมัย กับภาพถ่าย ‘Darkness to Dawn’ กล่าวว่า ช่วงเวลาตี 4 ในลอส แองเจลิส เธอบอกว่า วันนั้นตื่นเช้าเป็นพิเศษ พอเปิดผ้าม่านแล้วเห็นแสง อดใจไม่ได้ ต้องถ่ายเก็บไว้ เป็นแสงธรรมชาติที่สวยจริงๆ และไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษช่วยเลย
hhhh
การประกวดภาพถ่าย “A Moment in Time” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทบุคคลทั่วไปอายุตั้งแต่ 26 ปีขึ้นไป โดยผู้ชนะทุกคนจะได้รับนาฬิกาซิติเซ็นเป็นรางวัล พร้อมเงินสด 50,000 บาท สำหรับผู้ชนะเลิศ 30,000 บาท สำหรับรองชนะเลิศอันดับ 1 และเงินรางวัล 10,000 บาทสำหรับรองชนะเลิศอันดับ 2 และยังมีรางวัลพิเศษสำหรับธีม “The First Moment of Daylight”
hhh
สำหรับประเภทเยาวชนอายุระหว่าง 16-25 ปี ทุกรางวัลจะได้รับนาฬิกาซิติเซ็นเช่นกัน พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท สำหรับผู้ชนะเลิศ 10,000 บาท และ 5,000 บาท สำหรับรองอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ตลอดจนรางวัลพิเศษสำหรับธีม "The First Moment of Daylight"
hhhh
ชาวหัวหินและผู้สนใจส่งภาพประกวดต้องส่งภายในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02 254 8070-5 หรือ www.citizen.co.th
jjj
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thnaks
hhh

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๗๑ (นักเขียน วัยใส)


คุยกับคนวัยเรียน ที่รักงานเขียนเป็นชีวิตจิตใจ และไขว้คว้าหาโอกาสใหม่ๆ บนโลกออนไลน์ ทำความฝัน "อยากเป็นนักเขียน" ของพวกเขาให้เป็นจริง
hhhh
เส้นทางการเป็นนักเขียนในสมัยก่อน อาจเริ่มจากการส่งเรื่องเขียนสำนักพิมพ์ มาถึงยุคออนไลน์ เจ้าของผลงานสามารถนับหนึ่ง ที่การนำงานเขียนไปโพสต์บนเว็บไซต์ โลกไซเบอร์เป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ แน่นอนว่ารวมถึงเยาวชนคนวัยเรียน
hhhh
หลังจากที่ สำนักพิมพ์แจ่มใส จัดโครงการ “นักเขียนหน้าใส” ครั้งที่ 1 เพื่อค้นหานักเขียนหน้าใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี จากผู้ส่งนิยายเข้าประกวดจำนวนกว่า 800 เรื่อง ก่อนคัดให้เหลือเพียง 20 เรื่อง แล้วนำไปโพสต์บนเว็บไซต์ เด็กดี ดอทคอม โดยให้นักเขียนทยอยอัพแต่ละตอนของเรื่องสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ผู้อ่านเป็นคนโหวต ใครที่ได้คะแนนโหวตน้อยที่สุดก็จะต้องตกรอบไป โดยในที่สุดจะเหลือเรื่องที่ผู้อ่านชื่นชอบมากที่สุดเพียงเรื่องเดียว
hhhh
"ช่วงวันหยุดปิดเทอมอันแสนว่างและน่าเบื่อ =_= เพื่อนๆ ทุกคนคงจะช็อกน่าดูถ้ารู้ว่าฉันใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการ... เกาะติดอยู่หน้าจอโทรทัศน์แบบไม่ขยับไปไหน หลังจากที่ได้เห็น ‘อะนะ’ หนุ่มหน้าหวาน เสียงไพเราะชวนฝัน หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันรายการเรียลลิตี้โชว์ ‘Dream Delivery ภารกิจส่งฝันถึงที่ ฟรี! ค่าบริการ’ ซีซั่นที่ 5 >O<"
hhhh
๐ ภาษาวัยรุ่นแบบนี้ ที่เป็นส่วนหนึ่งของบทนำจากเรื่อง Dream Delivery ส่งรักถึงที่แถมฟรีหัวใจ ของ มิลค์ - ณัฐวดี ศิริภาณุรักษ์ ผู้ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด จนได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดในครั้งนี้ และได้เป็นนักเขียนหน้าใหม่ของสำนักพิมพ์แจ่มใส 'มิลค์' เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการประกวดในครั้งนี้ว่า “เริ่มจากการที่มิลค์ชอบอ่านนิยาย พอเริ่มเขียนนิยายของตัวเองก็เขียนแนวกุ๊กกิ๊ก ซึ่งเป็นแนวที่ชอบมาตั้งแต่ ม.5 พอทราบว่ามีโครงการประกวดนักเขียนหน้าใส โดยให้ส่งพล็อตกับเรื่องย่อ และตอนที่ 1 ส่งเข้าไปก่อน มีระยะเวลา 1 เดือนในการประกวด พล็อตเรื่องจึงเกิดขึ้นใน 1 เดือนนั้น"
hhhh
ความสามารถในการเขียนของ 'มิลค์' เริ่มต้นด้วยจุดเล็กๆ จากการประกวดแต่งคำขวัญวันแม่ในงานวันแม่ของโรงเรียน แล้วได้รับรางวัล จากนั้นก็ส่งผลงานเข้าประกวดตามเวทีต่างๆ มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเรียงความ คำขวัญ สุนทรพจน์ ฯลฯ 'มิลค์' เล่าว่าเธอชอบเขียนนิยาย และเคยนำนิยายที่เขียนไว้ไปลงเว็บอยู่เรื่องสองเรื่อง แต่ไม่เคยมีใครมาคอมเมนต์ ดังนั้น เมื่อเห็นว่ามีการจัดประกวด และคณะกรรมการตัดสินจะต้องร่วมให้ความคิดเห็น เธอจึงคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพื่อจะได้รู้ว่างานเขียนของตัวเองมีจุดดีจุดด้อยอย่างไร จึงตัดสินใจส่งผลงานเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
jjjj
"ตอนที่รู้ว่าเข้ารอบเป็นหนึ่งในยี่สิบเรื่องสุดท้าย ก็ตื่นเต้น ดีใจ เราไม่รู้ว่าเรื่องของคนอื่นเป็นยังไง จะรู้แค่ชื่อเรื่อง ยิ่งเข้ารอบลึกๆ เป็นผู้ชนะเลิศในการประกวด ได้เห็นคนที่เข้ามาอ่านมาคอมเมนต์ เขียนให้กำลังใจ เห็นเขาชอบนิยายที่เราเขียน ทำให้รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น มีความสุข ได้ไปอ่านนิยายของคนที่เข้าประกวดด้วยกันอยู่บ้าง ดูว่าคนอ่านชอบนิยายแนวไหน นำส่วนนี้มาปรับใช้ในการแต่งนิยายของเรา"
hhhh
นักเขียนวัยใส บอกด้วยว่า คุณพ่อ คุณแม่ เมื่อทราบว่าเธอส่งนิยายเข้าประกวดก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ ทั้งเข้าไปอ่าน เข้าไปโหวต เธอบอกว่าที่จริงแล้ว เธอไม่ได้หวังว่าจะชนะด้วยซ้ำ แต่รางวัลชนะเลิศในครั้งนี้ถือเป็นเป็นก้าวแรก เพื่อที่เธอจะก้าวต่อไปบนเส้นทางสายนักเขียน โดยผลงานของเธอได้รับการตีพิมพ์กับทางสำนักพิมพ์แจ่มใส และเธอได้รับค่าตอบแทนไม่แตกต่างจากนักเขียนมืออาชีพ วันนี้ 'มิลค์' ศึกษาในชั้นปีที่ 2 คณะเศรษฐศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
hhhh
“ตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ลังเลอยู่สองอย่าง คือจะเรียนอักษรศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์ดี ลังเลมาตลอด คิดไปคิดมา เศรษฐศาสตร์ อย่าง กราฟ หรือสูตรต่างๆ เราไม่เข้าใจมันแน่ๆ มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนได้ด้วยตนเอง แต่อักษรศาสตร์เราสามารถเรียนรู้ได้ เรารักในด้านนี้ ยังไงเราก็จะอยู่กับตัวหนังสืออยู่แล้วเป็นสิ่งที่เราฝึกฝนได้ ก็เลยเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ ส่วนอักษรศาสตร์ศึกษาด้วยตนเอง" 'มิลค์' บอกว่าเธอแอบเอาบรรยากาศตอนเรียนมาใช้ในงานเขียนด้วย เช่น ตอนพระเอกของเรื่องทำข้อสอบ ก็เอาโจทย์วิชาเศรษฐศาสตร์ที่เรียนมาใช้
jjjjj
ถามถึงสิ่งที่ได้จากการเขียน นักเขียนหน้าใหม่บอกว่า "ปกติเป็นคนชอบเขียน ถ้าเขียนเฉยๆ เขียนเล่นๆ เราจะรู้สึกว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือดีมั้ย แต่พอมาเขียนนิยายเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเหมือนการสร้างผลงานของตัวเอง รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ คนอ่านก็ได้ความบันเทิง ได้ผ่อนคลายจากสิ่งที่เครียด" 'มุ่งมั่น-ไม่ท้อ' คาถาแห่งความสำเร็จ
kkk
kkk
๐ ส่วนนักเขียนรุ่นพี่อย่าง โอ๋ แสงอรุณ วรรณจู นิสิตภาควิชาสื่อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จากรั้วจามจุรี ซึ่งมีงานเขียนมาแล้ว 2 ปี โดยแจ้งเกิดจากเรื่อง Paparazzi ปฏิบัติการนี้จารชนหัวใจ และเรื่องล่าสุด Thief Lady ปฎิบัติการปล้นหัวใจนายจอมโฉด ผลงานของเธอมีให้เห็นเกือบทุกแนว ทั้งแนวรัก แนวแฟนตาซี ด้วยความที่อยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแต่งนิยายตั้งแต่อายุ 13 ปี โดยเขียนนิยายลงสมุดให้เพื่อนๆ ในห้องอ่าน และมาเอาจริงเอาจังตอนเข้ามหาวิทยาลัย
hhhh
“ตอนที่เขียนนิยายให้เพื่อนๆ อ่าน เพื่อนก็ชอบกัน เลยเอานิยายที่แต่งไว้มาลงเว็บ อยากรู้ว่าเรื่องที่เราแต่งจะมีคนชอบมั้ย หรือว่ามีแค่เพื่อนๆ ที่ชอบ หลังจากที่เขียนนิยายลงบนเว็บไซต์สักพัก เรตติ้งค่อนข้างดี เริ่มมีแฟนคลับ คนที่เข้ามาอ่านก็คอมเมนต์ให้ลองเสนอให้สำนักพิมพ์" คำแนะนำจากแฟนผลงาน ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอเริ่มตั้งเป้าเอาจริงเอาจังกับการเขียนนิยาย ก่อนจะรวบรวมผลงานที่เป็นเล่มส่งให้สำนักพิมพ์ ส่งอยู่ราว 1 ปี ถึงได้ตีพิมพ์ "ที่ต้องรอ เพราะเหมือนกับว่าเรายังหาแนวไม่เจอ ต้องแก้หลายครั้ง ปรับไปเรื่อยๆ เขียนไปเรื่อยๆ เขียนเรื่องหนึ่งจบ ก็เริ่มเขียนเรื่องใหม่ จนได้เรื่องที่ดีที่สุด ที่จะตีพิมพ์เป็นหนังสือ”
hhhh
โอ๋บอกว่า งานเขียนยุคแรกๆ จะเป็นการนำเอาดาราที่ชื่นชอบมาเป็นตัวละคร เหมือนดูละครแล้วไม่ได้ดั่งใจก็เขียนเองเสียเลย น่าสนใจตรงที่ก่อนหน้าจะเขียนนิยาย โอ๋บอกว่าเธอเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่เมื่อเปลี่ยนบทบาทจากคนอ่าน มาเป็นคนเขียน เธอจึงเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น หาความรู้มากขึ้น อ่านเพื่อนำความรู้มาเขียนในหนังสือ เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้แนวของหนังสือเป็นแบบไหน ประสบการณ์จากการเขียนบทละครเวทีให้กับคณะ ประกอบกับการเรียนสาขาสื่อสารแสดงเป็นสิ่งที่ช่วยได้มากในการเขียน
hhhh
"เรียนสาขาสื่อสารการแสดง ต้องเรียนเกี่ยวกับการเขียนบทละคร การวางโครงเรื่อง การใช้ภาษา ก็ตรงกับการเขียนนิยายพอดี ทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับการวางโครงเรื่องที่น่าสนใจ สามารถดึงสิ่งที่เรียนมาใช้ในงานเขียนของเรา ทำให้รู้ว่าจะทำยังไงให้นิยายน่าสนใจ" แม้ครอบครัวจะไม่ให้การสนับสนุนมากนักในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นความตั้งใจจริงในการเป็นนักเขียนของเธอ และเธอสามารถพิสูจน์ด้วยว่าเธอสามารถแบ่งเวลา เพื่อทำกิจกรรมที่เป็นความถนัดและสนใจโดยไม่เสียการเรียน รวมทั้งมีความเป็นผู้ใหญ่ มีการคิดวางแผนชีวิตในภายภาคหน้า ผู้ปกครองจึงเปิดไฟเขียวให้เต็มที่
hhhh
ตอนนี้ 'โอ๋' เรียนจบแล้ว มีเวลาเขียนนิยายอย่างเต็มที่ เธอวางแผนไว้ว่าจะเรียนต่อปริญญาโท พร้อมๆ กับเขียนนิยายไปด้วย เวลาว่างก็อ่านหนังสือ หาความรู้เพื่อที่จะเรียนต่อ “อยากแนะนำน้องๆ ที่อยากเป็นนักเขียน ว่าขอให้หาแนวทางของตัวเองให้ได้ และอย่าท้อ เพราะกว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ กว่าจะมีหนังสือเป็นของตัวเอง ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เรื่องแรกกว่าจะได้ตีพิมพ์ก็แก้กว่าสิบรอบ พยายามไปเรื่อยๆ สักวันมันต้องเป็นวันของเรา”
hhhh
เช่นเดียวกับ 'มิลค์' ที่ฝากถึงเพื่อนๆ ที่มีความฝัน "อยากให้ลงมือเขียนก่อน อย่าเพิ่งคิดว่าเราทำได้หรือทำไม่ได้ อย่างน้อยเขียนออกมา เพื่อบอกสิ่งที่คุณต้องการจะสื่ออกมา แค่นี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียน” ถึงแม้เนื้อหาจะเป็นเรื่องกุ๊กกิ๊กตามสไตล์วัยรุ่นทั่วไป แต่ถ้ามองในแง่ของรูปแบบการทำงานแล้ว ทั้ง 'โอ๋' และ 'มิลค์' ก็เป็นตัวอย่างของเด็กรุ่นใหม่ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า 'วัย' ไม่ใช่ข้อจำกัดของการเป็นมืออาชีพ
hhh
อีก'หนึ่ง' ไม่สิ 'สอง' ตัวอย่างบนเส้นทางเดียวกัน ที่ฝัน มีฝันแล้วลงมือทำ ความสำเร็จ มันก็จะมาถึงในซักวัน เช่นนี้แล..สวัสดี
kkkk
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thnaks
hhhh

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๗๐ (ออร์แกนิก เดลิเวอร์รี่)


ร้านเล็กๆ สร้างด้วยใจ หวังให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ด้วยสินค้าปลอดสารพิษที่บริการส่งถึงหน้าประตูบ้าน กับจำนวนสมาชิกปัจจุบันกว่า 300 ราย
hhhh
อีกธุรกิจที่เอื้อกับสังคมและชีวิตที่ดี ออร์แกนิก ดิลิเวอรี่ ไม่คิดค่าบริการส่งถึงบ้าน ไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อหวังร่ำรวย แค่อยากทำเรื่องดีๆ ให้กับคนรักสุขภาพและช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม
hhhhh
“เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า เจ้าของคอกม้าคนหนึ่งมาหาหญ้าเกษตรอินทรีย์แถวหนองจอกให้ม้าตัวละ 10 ล้านกิน แต่ตัวเขากลับไม่ได้สนใจกินอาหารปลอดสารพิษ”
hhh
พอทิพย์ เพชรโปรี เจ้าของร้านเฮลท์มี แถวราษฎร์บูรณะ จำหน่ายอาหารมังสวิรัติและปลอดสารพิษ รวมถึงบริการส่งสินค้าออร์แกนิกถึงบ้านทั่วกรุงเทพฯ เล่าให้ฟัง หลังจากชิมข้าวยำธัญญาพืช โรตีแป้งโฮทวีท และน้ำมะตูม (ที่เจ้าของร้านเด็ดใบมิ้นท์ใส่แก้วเพิ่มรสชาติให้ผู้ดื่ม) พร้อมๆ กับให้ความรู้เรื่องสุขภาพ หากถามว่า ร้านออร์แกนิกของเธอ เป็นการทำตามกระแส หรือเป็นช่องทางสร้างฐานะความมั่นคงให้ชีวิตใช่หรือไม่
hhhh
คำตอบจากเธอ คือ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แค่อยากส่งความแข็งแรงและสิ่งดีๆ ให้กับผู้บริโภค”
ที่เธอกล่าวมา ไม่ใช่สโลแกนโฆษณาสินค้า แต่มีที่มาที่ไปของเรื่องราว หลังจากเธอจบปริญญาตรีด้านครูจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน เธอไปเป็นครูอาสาในหมู่บ้านแถวเชียงใหม่ จากนั้นเรียนต่อปริญญาโทคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และทำงานเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนวรรณสว่างจิต กระทั่งลาออกมาเปิดร้านออร์แกนิก
hhh
"เนื่องจากสุขภาพไม่ดี เป็นไมเกรนบ่อยมาก จึงหันมาดูแลเรื่องน้ำตาลและลดเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายดีขึ้น และเรารู้ว่า ปัญหาของไมเกรนส่วนหนึ่งมาจากฮอร์โมน แต่ก็มีสาเหตุอื่นด้วย ก็เลยสนใจดูแลตัวเอง ประกอบกับมีครอบครัวต้องดูแลลูกๆ" พอทิพย์เล่าถึงความสนใจของตัวเอง
ชีวิตที่เลือกได้
hhhh
หากย้อนไปถึงความสนใจเรื่องสังคม เธอเคยเป็นครูอาสาในหมู่บ้าน จังหวัดเชียงใหม่ โดยไม่ได้รับเงินเดือน เพราะชอบทำกิจกรรมสังคมและครอบครัวให้อิสระเต็มที่ "ตอนนั้นเราไม่ติดกรอบเรื่องการแต่งตัวและไม่ใส่ใจเรื่องตำแหน่งหรือความมั่นคงของชีวิต แค่อยากทำงานช่วยเหลือคน และอาชีพครูก็ช่วยได้ง่าย ชีวิตจึงค่อยๆ บ่มเพาะอะไรบางอย่าง" เธอเล่าถึงตอนเป็นครูอาสาที่อำเภออมก๋อยและอำเภอแม่แตง จ.เชียงใหม่ รวมถึงหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี ช่วงจังหวะนั้นเธอได้เห็นคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านเด็กทำงานด้วยความเสียสละ แต่เธอกลับรู้สึกว่า ทำอะไรได้น้อยกว่าที่คิด ที่นั่นทำให้เธอเข้าใจเด็กมีปัญหามากขึ้น และกลับมาเป็นครูอีกครั้งที่โรงเรียนอนุบาลหนูน้อย แต่ไม่นานเธอลาออก เพราะปัญหาสุขภาพ เจอภาวะแท้งคุกคาม จึงต้องหยุดทำงานกว่าสิบปี
hhhh
“เมื่อก่อนเป็นไมเกรนเดือนละสองสามครั้ง แต่ตอนนี้สามเดือนครั้ง เวลาเครียดก็ทำสมาธิ โยคะตอนเช้า และดูแลสุขภาพ” เธอเล่าถึงชีวิตปัจจุบัน และย้อนถึงช่วงกลับมาทำงานอีกครั้งเป็นผู้บริหารโรงเรียนวรรณสว่างจิตนานกว่า 6 ปี เป็นช่วงที่เธออ่านหนังสือเยอะและหันมาสนใจธรรมะ
“หลังจากที่กลับมาทำงานอีกครั้ง ก็เจอปัญหาการบริหารจัดการ ร่างกายเริ่มทรุดโทรม เพราะทุ่มกับงานเต็มที่ จนได้มาเรียนรู้ธรรมะ ทำให้เราปลดอะไรบางอย่าง เพราะเราไปยึดโยง จึงต้องเปลี่ยนมุมมองในการบริหาร ก่อนหน้านี้เราเรียกร้องมาก เพราะเราเป็นคนทำอะไรเต็มที่ แต่ทำแบบนั้นทำให้ทุกข์ ในที่สุดก็คลี่คลายด้วยการปฏิบัติธรรม”
hhhh
สุขภาพต้องมาก่อน
ช่วงที่ทำงานบริหารโรงเรียนวรรณสว่างจิต เธอบอกว่า เจ็บป่วยตลอดเพราะทำงานเยอะ และมีโรคประจำตัวคือ ปวดท้องประจำเดือนและไมเกรน แต่ก็พยายามดูแลสุขภาพ จึงผลักดันให้นักเรียนในโรงเรียนบริโภคอาหารปลอดสารพิษ "ที่นี่น่าจะเป็นโรงเรียนแรกๆ ที่เด็กได้ดื่มนมปลอดสาร ตอนนั้นมีเพื่อนเลี้ยงวัวนมปลอดสารพิษ แดรี่ โฮม จึงนำเข้ามาในโรงเรียน ข้างๆ บ้านก็มาสั่งนมจากเรา ลูกๆ ก็ขี่จักรยานไปส่ง จากนั้นก็มีเครือข่ายมากขึ้นเรื่อยๆ"
hhhh
หลังจากลาออกจากการเป็นผู้บริหารโรงเรียน เธอหันมาทำธุรกิจเล็กๆ เริ่มจากส่งนมปลอดสารพิษ จากนั้นสินค้าเริ่มมากขึ้นมีข้าว ไข่ และผลิตภัณฑ์ปลอดสารจากเพื่อนๆ และเครือข่ายกว่า 90 ชนิด จนกลายเป็นธุรกิจดิลิเวอรี่ ช่วงแรกๆ เธอขับรถส่งสินค้าออร์แกนิกด้วยตัวเอง แม้ไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย แต่ก็มีความสุข มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีลูกค้าประจำกว่า 300 ราย
hhhh
"การทำธุรกิจต้องรอ จะเริ่มจากศูนย์หรือติดลบก็เริ่มไปเถอะ เราทำธุรกิจส่งความแข็งแรงและมอบสิ่งที่ดีให้พวกเขา เราได้ทดลองโดยให้ลูกของเรากินและใช้ เรามั่นใจกับธุรกิจแบบนี้" ถ้าจะให้สินค้าออร์แกนิกส่งถึงบ้าน เธอคำนวณแล้วว่า ลูกค้าต้องสั่งสินค้าอย่างต่ำ 300 บาท โดยไม่คิดค่าบริการส่งสินค้า เพราะเธอเห็นว่า การค้าต้องเป็นธรรม ซื้อที่ร้านหรือส่งถึงบ้านก็ราคาเท่ากัน
hhhh
สิ่งที่เธอทำ จึงไม่ใช่แค่ผลกำไร แต่ต้องเอื้อให้กับคนเล็กๆ ที่มีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อย่างเพื่อนบางคนของเธอทำการเกษตรปลอดสารมีผลผลิตไม่มาก ถ้าจะขายในห้างสรรพสินค้าคงยาก จึงนำผักผลไม้ตามฤดูกาลมาขายในร้านของเธอ
hhhhh
ดิลิเวอรี่รักสุขภาพ
สินค้าในร้านของเธอส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรรายย่อย อย่างกลุ่ม ISAC กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านสันป่ายาง อ.แม่แตง จ. เชียงใหม่ มีผลิตภัณฑ์หลายอย่าง อาทิ เต้าเจี้ยวถั่วเหลืองอินทรีย์ น้ำยาซักผ้าจากมะละกอ ฯลฯ ส่วนข้าวหอมนิล ข้าวกล้องหอมมะลิเพาะงอก ข้าวไก่ป่า ข้าวกล้องอินทรีย์จากเกษตรกรหลายกลุ่ม “พอทำเรื่องพวกนี้เราเห็นแรงกระเพื่อมเยอะ ได้เห็นผู้ผลิตรายย่อยทำเรื่องดีๆ ก็มั่นใจมากขึ้น อย่างนมแดลี่ โฮม ผลิตได้จำกัด เราก็ช่วยเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ เรามีเครือข่ายคนพวกนี้จากการทำกิจกรรมที่เชียงใหม่” เธอบอกว่า ธุรกิจเล็กๆ ของเธอ ไม่ต้องการแข่งขันกับใคร ยกตัวอย่างหากมีแชมพูมะกรูดให้เลือกกว่าสิบยี่ห้อ เธอจะเลือกกลุ่มเล็กๆ ที่คนไม่สนใจ อย่างกลุ่มที่ใช้มะกรูดลูกเล็ก แต่ต้องปลอดสารพิษและผลิตจากวัสดุธรรมชาติ
hhhh
“ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่ๆ มีคนสนับสนุนเยอะ มีช่องทางอยู่แล้ว แต่คนเล็กๆ ไม่มีช่องทาง เราจึงอยากช่วยเหลือ บางฤดูกาลเกษตรกรไม่ทำแชมพูมะกรูด ต้องไปทำนา ทั้งๆ ที่ลูกค้าบอกว่าใช้ดี เราก็ต้องตอบคำถามลูกค้า หรือข้าวยำหนึ่งจานที่นี่ มั่นใจได้ว่ามีผักออร์แกนิก 70% อีกอย่างเราไม่ชอบเอาสินค้าจากชุมชนมาทำแพ็คติดแบรนด์ตัวเอง ทั้งๆ ที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ยินดี อย่างกลุ่มยิ้มเขียวที่ปากช่อง คนปลูกผักเป็นคนดูแลสุขภาพและปฏิบัติธรรม แต่การตลาดไม่เก่ง เริ่มแรกมาขายที่ตลาดนัดสีเขียวที่อาคารรีเจ้นท์ทุกวันพฤหัส พวกเขาได้แลกเปลี่ยนกับลูกค้า ก็มั่นใจมากขึ้น เดี๋ยวนี้ลูกค้ามารอซื้อ ทำให้กลุ่มอื่นๆ กล้าทำ และอีกไม่เกิน 5 ปี เกษตรอินทรีย์จะทำเยอะกว่านี้”
hhhh
ร้านเฮลท์มีของเธอเพิ่งเปิดบริการปีกว่าๆ ช่วงเที่ยงจะมีลูกค้าเต็มร้านทุกวัน และกำลังจะเปิดสาขาสองในย่านเดียวกัน ส่วน
ออร์แกนิก ดิลิเวอรี่ทำมานานกว่า 10 ปี ทั้งให้ความรู้กับลูกค้าและพยายามดูแลสิ่งแวดล้อม เธอบอกว่า ปกติจะส่งสินค้าแต่ละเส้นทางให้ลูกค้าสัปดาห์ละครั้ง ถ้าหมู่บ้านไหนซาเล้งเข้าไม่ถึง เราก็ช่วยระบายขยะ ขวดพลาสติก น้ำมันพืชใช้แล้ว นำกลับมาด้วย
hhhh
นอกจากนี้ร้านของเธอยังเป็นที่พึ่งของคนเล็กๆ มีคนนำสินค้ามาฝากขาย ผู้ปกครองนักเรียนบางคนทำเค้กส้มใช้น้ำมันพืชแทนเนย หรือเพื่อนๆ ของเธอที่ปั้นตุ๊กตานำมาบริจาคให้ขายในราคามิตรภาพ เมื่อเหลือบไปเห็นเมนูอาหารเขียนไว้ว่า น้ำดื่มบริสุทธิ์ราคา 10 บาท (ดื่มไม่ถึงครึ่งขวด 5 บาท) เธอบอกว่า ถ้าลูกค้าดื่มแล้วเหลือ เราเก็บไว้ดื่มต่อในร้าน จ่ายแค่ 5 บาทไม่ต้องจ่ายเต็ม
hhhh
นี่คือ ร้านเล็กๆ ที่เอื้อให้กับผู้บริโภคฉันมิตรสหายร่วมโลก และต่อไปจะมีกิจกรรมอบรมการปลูกผักในแปลง ทำน้ำจุลินทรีย์ ซึ่งเพื่อนๆ ในเครือข่ายของเธอจะมาให้ความรู้ โดยเก็บค่าใช้จ่ายเล็กน้อย "คนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาปลูกผัก เราใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงลงสวน การปลูกต้นไม้เหมือนการเลี้ยงสัตว์จะมีความปีติ เราพบว่า คนกรุงเทพฯ อยากปลูกผักจึงจัดกลุ่มเล็กๆ กว่า 10 คนมาปลูกผักกัน ต่อไปจะไปดูที่บ้านว่าปลูกผักแล้วมีปัญหาอะไร อีกอย่างที่อยากทำคือ การเยี่ยมฟาร์มผักอินทรีย์ อบรมทำซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เพาะเห็ด น้ำยาล้างจาน เอาดอกไม้มาทำอาหาร รับจัดกระเช้าสุขภาพ เรามีความรู้เรื่องโภชนาการอยู่แล้ว เราจะถามว่า จะจัดให้ผู้ป่วยโรคอะไร อายุเท่าไหร่"
hhhh
ชีวิตเธอมีทางเลือกเสมอ เมื่อขายและแนะนำให้ความรู้เรื่องอาหารปลอดสารพิษ เราถามไปว่า ที่บ้านปลูกผักอะไรบ้าง เธอบอกว่า ผักขม พืชสวนครัว เพาะเห็ด ทำปุ๋ยและทำดินใช้เอง "เราไม่เสียเงินจัดสวน แต่เราปลูกไม้ที่กินได้" ............................หมายเหตุ : เฮลท์มี ดิลิเวอรี่ติดต่อได้ที่เบอร์ 081-6392232
อีกหนึ่งหนทางและความคิดในการสร้างอาชีพที่ huahinhub หยิบยกมาฝากพี่น้องชาวหัวหินกั ...ต้องสู้จึงจะชนะ..จริงเสมอนะ..ว่ามั๊ย...สวัสดี
hhhh
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thanks
hhhh

| สร้างสรรค์วัฒนธรรม และสังคมเมือง ๗๐ (ศิลปะสู่ความเป็นไทยร่วมสมัย)






หอศิลป์สมบัติ เพิ่มพูน เสนอ 'Adaptation' นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย ที่หลากหลายด้วยผลงานภาพเขียน ภาพพิมพ์ และประติมากรรม จากสามศิลปินรุ่นใหม่ ที่ดัดแปลงการสื่อสารถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ประเพณี และศาสนา ให้เข้ากับโลกของศิลปะร่วมสมัย
hhhh
พงศ์ศิริ คิดดี ศิลปินรุ่นใหม่ที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ใช้ความรักที่มีต่อสถาปัตยกรรมไทย และความเชี่ยวชาญในด้านการพิมพ์ (Silk screen) สร้างสรรค์ผลงานภาพพิมพ์ที่เต็มไปด้วยสีสัน ซึ่งบอกถึงความรุ่งเรืองและความศักดิ์สิทธิ์ของสถาปัตยกรรมไทย
hhhh
นฤมล ปัดสำราญ ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ ได้แรงบันดาลใจมาจากการแสดงของวงดนตรีลูกทุ่งหมอลำที่มีรูปแบบการแสดงที่สนุกสนาน มีลีลาการแสดงและเสียงดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ นฤมลได้ถ่ายทอดงานประติมากรรม และ จิตรกรรมโดยการนำตัวอักษรที่มีสีสันสดใสจากป้ายโฆษณาคณะเพลงลูกทุ่ง มาสร้างสรรค์เป็น รูปทรงกึ่งนามธรรม ที่ถ่ายทอด “ จังหวะ ” และ “ ท่าทาง ” เอกลักษ์ความสนุกของการแสดงหมอลำ
hhhhh
กติกา กระจายศรี ซิปโปร์ นำภาพสัญลักษณ์ต่างๆ จากภาพปริศนาธรรมแต่โบราณที่อธิบายถึงสัจจะธรรมของมนุษย์โลก เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดหรือเรียกว่าหลัก 'ปฎิจสมุปบาท' มาประยุกต์ใช้ในงานเขียนบนผืนผ้าใบที่เต็มไปด้วยสีสัน ความมีชีวิตชีวา และคำสอนของพุทธศาสนาที่กติกาต้องการจะสื่อถึงคนดูในปัจจุบัน
hhhh
นิทรรศการ Adaptation กำหนดเปิดนิทรรศการในวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 เวลา 18.30 น. - 20.30 น. ณ ชั้น 2 หอศิลป์ สมบัติเพิ่มพูน จัดแสดงจนถึง 31 กรกฎาคม 2552 ณ หอศิลป์ สมบัติเพิ่มพูน เลขที่ 12 สุขุมวิท ซอย 1 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ สอบถามเพิ่มเติมโทร.0-2254-6040 ถึง 6 หรือดู
www.sombatpermpoongallery.com

มีเวลา มีโอกาส ก็ไม่อยากให้พลาดกันนะ...ว่าแต่ว่า หัวหินมีหอศิลป์ กับเค้าบ้างรึยังน้าพี่น้อง..สวัสดี
k
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bangkokbiznews.com
huahinhub Thanks
hh

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๖๙ (35 ปี ขายหัวเราะ)




ลองนึกกันเล่นๆ ดูนะ ว่าหนังสืออะไรมักจะถูกวางไว้อ่านในห้องน้ำตามบ้านหรือห้องน้ำตามที่ทำงานมากที่สุดเวลาเราไปตามสถานีขนส่งเพื่อขึ้นรถทัวร์มักจะพบและเลือกซื้อหนังสืออะไรจากแผงหนังสือเล็กๆ แถวๆ นั้น..!? และหนังสืออะไรที่ใครหลายๆ คนเห็นปุ๊บก็หยิบอ่านได้ทันทีราวกับว่าเป็นหนังสือที่รู้สึกและคุ้นเคยกันมานานไม่ว่าจะเป็นเล่มที่เท่าไหร่..!?
hhhh
หนึ่งในจำนวนหนังสือที่ถูกนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ นั้นจะต้องมีนิตยสารการ์ตูนตลกสุดคลาสสิกที่อยู่คู่คนไทยมานานเกือบ 4 ทศวรรษแล้วอย่าง "
ขายหัวเราะ" อยู่ด้วยแน่ๆ ใครจะเชื่อว่านิตยสารขายหัวเราะนี้อยู่มอบความฮาคู่คนไทยมาจนถึงปีนี้เป็นปีที่ 35 แล้ว แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะลดความนิยมลงไปเลย และตลอด 35 ปีที่ผ่านมาก็มีประวัติศาสตร์และความทรงจำดีๆ มากมายที่มีคุณค่าและน่าทึ่งเหลือเกิน เช่น ตัวเลขขั้นต่ำของผู้อ่านขายหัวเราะทั่วประเทศคือ 10,000,000 คน, ระยะทางที่ขายหัวเราะและมหาสนุกกระจายสู่นักอ่านทั่วประเทศคือ 55,000 กิโลเมตร มากกว่าความยาวเส้นรอบวงของโลกที่ยาวแค่ 40,075 กิโลเมตรเสียอีก...
hhhh
ทั้งหมดถูกทีมงานนำมารวบรวมนำเสนอเอาไว้ใน
ขายหัวเราะฉบับพิเศษสุดๆ ที่มีชื่อว่า "ขายหัวเราะ Jumbo (ฉบับจัมโบ้)" ซึ่งสำนักพิมพ์บันลือบุ๊คส์ในเครือบันลือสาส์นได้ตีพิมพ์และออกวางจำหน่ายเนื่องในโอกาสสุดพิเศษที่ว่าด้วยขนาดใหญ่พิเศษ ตีพิมพ์สี่สีสวยงามทั้งเล่ม ความหนา 84 หน้า (รวมปก) สนนราคา 59 บาท วางจำหน่ายตาม 7 Eleven (เซเว่น อีเลฟเว่น) เท่านั้น
hhh
กิตติ ไชยพร ครีเอทีฟคนดังแห่งวงการโฆษณาของบ้านเรากล่าวว่า "
ขายหัวเราะจะเป็นเหมือนเครื่องมือเช็คเรทติ้งของครีเอทีฟเลย เพราะถ้างานของเราดี โฆษณาของเราดัง เขาก็จะเอาไปล้อ ไปเขียนในขายหัวเราะ" ใครที่อ่านขายหัวเราะมาก็คงจะไม่เถียง... เพราะถ้าเรื่องอะไรที่กำลังดังแต่เป็นกระแสของประเทศอยู่ในแต่ละช่วงเวลาก็จะถูกขายหัวเราะนำมาเขียนเป็นมุกตลกอยู่เสมอ ไม่เฉพาะแต่วงการโฆษณาเท่านั้น วงการหนัง การเมือง ละคร เพลง สังคม ต่างประเทศ ฯลฯ ก็ถูกจับมามองและเสนอเป็นมุมฮาๆ ได้ทั้งสิ้น
hhhhh
ด้าน วิบูลย์ ลีภักดิ์ปรีดา ครีเอทีฟมือรางวัลผู้ก่อตั้งบริษัท มันเดย์ จำกัด เขียน 100+1 วิธีคิดสำหรับให้นักคิดใช้ในการเตือนสติตัวเองข้อที่ 40 เอาไว้ในหนังสือ "ช่างคิด" ว่า "คิดเสมอว่าต้องอ่าน
ขายหัวเราะ" เอากะเขาสิ...
hhhhh
คุณอา ชัย ราชวัตร สุดยอดนักเขียนการ์ตูนฝีมือระดับชาติก็ยังเขียนการ์ตูนตอนพิเศษ "เสียงหัวเราะ" เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองด้วยแง่คิดดีๆ มากมาย อาทิเช่น... "บ้านที่มีเสียงหัวเราะลูกหลานมักจะกลับบ้านตรงเวลา!", "วันที่สูญเปล่าคือวันที่ไม่ได้หัวเราะเลยสักครั้ง!", "เราจะไม่เลิกหัวเราะเพราะเราเริ่มแก่ แต่เราจะเริ่มแก่เพราะเราเลิกหัวเราะ!" (เป็นมุมมองที่อ่านแล้ว huahinhub เห็นด้วยที่สุดเลย) ฯลฯ
hhhh
"มีหัวเราะมาขาย" คือบทความพิเศษที่คุณ นิ้วกลม คอลัมนิสต์นักเขียนชื่อดังที่มีความโดดเด่นทางด้านการมองโลกแง่ดีได้เขียนเอาไว้ใน
ขายหัวเราะ Jumbo (ฉบับจัมโบ้) นี้เช่นกัน... อ่านแล้วชอบมุมมองที่คุณนิ้วกลมมีต่อการหัวเราะและขายหัวเราะดีจริงๆ นับได้ว่าเข้าใจมองโลกในมุมมองที่ดีได้อย่างยอดเยี่ยมโดยแท้
hhhh
"ติ๊ดแมน The Begin" เป็นการ์ตูนสั้น 13 หน้าจบโดย เอก-วิรัตน์ ยืนยงพัฒนากิจ ที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาในการมาเป็นบรรณาธิการของ วิธิต อุตสาหจิต หรือ บ.ก.วิติ๊ด ที่มักจะถูกนักเขียนของตัวเองนำมาเขียนล้อเลียนหรือแซวกันอยู่บ่อยๆ จนผู้อ่านทั้งหลายรู้จักและจดจำกันได้เป็นอย่างดีชนิดที่เริ่มตั้งแต่วัยเด็กเรียนหนังสือ จนกระทั่งกลายมาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร
ขายหัวเราะด้วยวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น และประสบความสำเร็จตลอดมาจนเปิดสำนักพิมพ์บันลือบุ๊คส์ และบริษัท วิธิตา แอนิเมชั่น ต่อมา
hhhh
"อนึ่ง... คิดถึง
ขายหัวเราะพอขำๆ" เป็นผลงานเรื่องสั้นอบอุ่นปนขำขันที่พี่ ต่าย-ภักดี แสนทวีสุข นักเขียนชื่อดังติดระดับท็อปเขียนขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเล่มเฉลิมฉลองนี้... ตามด้วยคอลัมน์ "นินทาพาเพลิน" ที่ได้นำนักเขียนการ์ตูนทั้งหมดของสำนักพิมพ์มาแนะนำกันครบทั้งรุ่นเก่า, กลาง, ใหม่ ใครที่ไม่เคยเห็นหน้าตาจริงๆ และรู้ข้อมูลประวัติคร่าวๆ ของนักเขียนขายหัวเราะก็จะได้เห็นได้รู้จักกันคราวนี้ล่ะ...
hhhh
"365 วันตามติดชีวิตนักเขียน" เป็นการถ่ายภาพจริงมานำเสนอแบบการ์ตูนเพื่อเล่าอธิบายถึงขั้นตอนการเขียนการ์ตูนและส่งมอบต้นฉบับโดยนำข้อมูลจากขั้นตอนการทำและส่งงานจริงๆ มาดัดแปลงให้อ่านสนุกขำขันพอประมาณ...
hhhh
"ความทรงจำสั้น แต่เสียงหัวเราะยาว...ว...." คือสกู๊ปจับสถานการณ์สำคัญของปีที่ผ่านๆ มาแต่ละปีมาคู่กับมุขในเล่มที่วางจำหน่ายในช่วงนั้นๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2516-2552 กันเลย... สุดท้ายปิดท้ายด้วย "ซ้อ 007 ตะลุยกองบอกอ" ที่เอาทีมงานกองบรรณาธิการมาแนะนำและแซวกันชนิดที่แทบจะครบทั้งทีม...
hhhh
เอาเป็นว่า แค่เหล่าบรมนักเขียน ที่มาร่วมลงฝีไม้ลายมือ และกำลังสมองในวาระครบรอบ 35 ปี ขายหัวเราะ ครั้งนี้...ก็เป็นอีกหนึ่ง หนังสือหัวเล็กๆ ที่ไม่ควรพลาดกันนะ...huahinhub ว่างั้น
hhhh
ขอบคุณข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ
huahinhub Thanks
hhhh

5.28.2552

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๖๘ (เมืองไทยในสายตาชาวโลกอีก)



เมืองไทยในสายตาชาวโลก
ในขวบปี 2551 ที่ผ่านมา Future Brand บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกด้านแบรนดิ้งได้จัดทำ Country Brand Index ประจำปี โดยจัดอันดับประเทศต่างๆ (10 อันดับ) ที่มีความโดดเด่นในแต่ละด้านเป็นจำนวนทั้งสิ้น 30 สาขาด้วยกัน
hhhh
อันดับความโดดเด่นดังกล่าวสามารถใช้เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน (SWOT Analysis) ของประเทศต่างๆ ได้ นอกจากนั้นยังสะท้อนให้เห็นถึงทรัพย์สินที่ประเทศต่างๆ มีอยู่ทั้งในแง่ของชื่อเสียง การรับรู้ และประสบการณ์ของประเทศนั้นๆ ด้วย สำหรับประเทศไทยเราก็มีชื่อติดอยู่ในอันดับต้นๆ หลายสาขาด้วยกัน ได้แก่
hhhh
1. เอกลักษณ์แท้จริงของประเทศ (Authenticity) ได้อันดับที่ 3
รองจากนิวซีแลนด์และญี่ปุ่น (โดยขึ้นมาจากอันดับที่ 5 ในปี 2550) การจัดอันดับวัดจากการแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงในเชิงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ
hhhh
2. ชีวิตแสงสียามค่ำคืน (Nightlife) ได้อันดับที่ 4 รองจากญี่ปุ่น บราซิล และสเปน (อันดับเดียวกับปี 2550) การจัดอันดับวัดจากชื่อเสียงของคลับและแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน
hhh
3. ช็อปปิ้ง (Shopping) ได้อันดับที่ 4 รองจากสหรัฐอเมริกา สหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสิงคโปร์ (โดยขึ้นมาจากอันดับที่ 9 ในปี 2550) การจัดอันดับวัดจากจำนวนร้านค้า ความสะดวกในการจับจ่ายและตัวเลือกที่หลากหลาย
hhh
4. มนุษยสัมพันธ์ของคนท้องถิ่น (Friendly locals) ได้อันดับที่ 3 รองจากนิวซีแลนด์ และไอร์แลนด์ (โดยขึ้นมาจากอันดับที่ 5 ในปี 2550) การจัดอันดับวัดจากมนุษยสัมพันธ์ของประชากรในประเทศ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
hhhh
5. ความคุ้มค่าคุ้มราคา (Value for Money) ได้อันดับที่ 1 เช่นเดียวกับในปี 2550 การจัดอันดับวัดจากความคุ้มค่าของสินค้าและบริการที่ได้รับเมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายไป
hhhh
6. การท่องเที่ยวต่อหลังจากเดินทางทำธุรกิจ (Extend a business trip) ได้อันดับที่ 10 รองจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สกอตแลนด์ ญี่ปุ่น ไอร์แลนด์ อเมริกา สวีเดน แคนาดา และอิตาลี ตกจากอันดับที่ 5 ในปี 2550
hhh
7. ความน่าเที่ยว/น่ากลับมาเยือนอีกครั้ง (Desire to visit/visit again) ได้อันดับที่ 10 รองจากนิวซีแลนด์ อิตาลี ออสเตรเลีย อเมริกา มัลดีฟส์ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่นและแคนาดา (เป็นการจัดอันดับครั้งแรกในสาขานี้)
hhh
ยังมีอีกในหลายหัวข้อที่ดูเหมือนว่าประเทศไทยน่าจะติดอันดับหนึ่งในสิบแต่กลับไม่ได้รับการคัดเลือก อาทิ ความงามตามธรรมชาติ (Natural Beauty) อาหารมื้อค่ำเลิศรส (Fine Dining) เป็นต้น จุดนี้ทำให้เราทราบว่าสถานะที่เรามองตัวเองกับที่คนนอกมองเรานั้นไม่ได้ตรงกันเสมอไป ซึ่งเมื่อเราเข้าใจสายตาชาวโลก ก็น่าจะมองเห็นช่องทางเสริมจุดเด่นและปรับปรุงจุดด้อยได้ เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการกำหนดทิศทางการพัฒนา การสร้างภาพลักษณ์ วางตำแหน่ง และกำหนดกลยุทธ์การท่องเที่ยวของประเทศในอนาคต ส่วนในภาคเอกชนก็สามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจทางธุรกิจ ทำให้เห็นภาพสะท้อนของสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนไปได้อีกด้วย
hhhh
ทั้งหมดที่ว่ามานี้ น่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับการตัดสินใจดีดีในหลายๆเรื่อง..หวังว่านะ..สวัสดี
hhhh
ขอบคุณเรื่อง ภาพ และข้อมูลเพิ่มเติม
:
http://www.countrybrandindex.com
hhhh

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๖๗ (ของขวัญบรรจุไอเดีย)

ของขวัญจุดประกายไอเดีย
ในช่วงเทศกาลแห่งการให้ทั้งหลาย หลายท่านที่เป็นนักช้อปมีหน้าที่ต้องหาซื้อของกำนัลให้กับญาติมิตร ขณะที่อีกหลายๆ ท่านที่เป็นผู้ประกอบการก็ต้องเร่งขายของกันในช่วงเวลาแห่งการจับจ่ายนี้ ของเล็กๆ น้อยๆ ที่เรารวบรวมมาให้ดูต่อไปนี้ บางชิ้นสามารถนำไปเป็นของขวัญสร้างความประทับใจได้ ขณะที่บางชิ้นก็เหมาะแก่การนำไปคิดพัฒนาต่อ ฉะนั้นหากคุณคิดว่าตนมีความครีเอทีฟในสายเลือดล่ะก็ มาทำการลับสมองกันดูสักหน่อย เผื่อคุณจะมีไอเดียเด็ดๆ ต่อยอดความสร้างสรรค์ในปี 2552 นี้

1. อุปกรณ์ช่วยชีวิตบรรจุขวด ในช่วงเทศกาลที่เต็มไปด้วยการเดินทางและการท่องเที่ยวเฉลิมฉลอง การเตรียมพร้อมเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ ใน http://www.coolhunting.com/ มี “อุปกรณ์ช่วยชีวิตบรรจุขวด” มานำเสนอ ด้วยเห็นว่าเหมาะกับช่วงเทศกาลเป็นอย่างยิ่ง ในขวดน้ำขนาด 1ลิตรนี้ ใส่อุปกรณ์ช่วยชีวิตเบื้องต้นไว้ อันประกอบด้วย เครื่องมือช่างและไขควงอเนกประสงค์ เข็มทิศ ไฟฉาย แบตเตอรี่ ผ้าห่ม อุปกรณ์ช่วยให้มืออุ่น เทียนไข ไม้ขีดกันน้ำ อุปกรณ์ปฐมพยาบาล และถุงซิปล็อคแบบนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เสื้อกั๊กใส่กรณีฉุกเฉิน เป็นนวัตกรรมความคิดที่เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องขับรถไกลๆ ซึ่งบางทีอาจพบกับสภาพอากาศเลวร้าย

2. พวงกุญแจสายวัดในซองหนังจาก Tumi คนที่ประกอบอาชีพช่างกับหนุ่มสาวที่ทำงานในเอเจนซี่โฆษณา(โดยเฉพาะตำแหน่งAE) บริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณา(Production House)และบริษัทรับจัดงาน (Event Organizer) มีความคล้ายคลึงกันอยู่ประการหนึ่งคือ ต้องมีตลับเมตรหรือสายวัดพกติดตัวไว้เพื่อวัดขนาดงานสารพัดประเภท สำหรับช่างคงเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนในวงการโฆษณา อาจอยากเพิ่มความสวยงามให้กับตลับเมตรหรือสายวัดอันน้อยด้วย พวงกุญแจสายวัดในซองหนังจาก Tumi (ซึ่งตัวสายวัดเองก็ทำจากหนังเช่นเดียวกัน) ดูน่าจะเป็นสายวัดหรือตลับเมตรที่หรูที่สุดของปี

3.เครื่องปิ้งขนมปังแบบใส ใครๆ ที่ชอบรับประทานขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้า แต่เครื่องปิ้งขนมปังอันเก่ากลับทำให้เสียเวลา (และอารมณ์) คงอยากได้เครื่องปิ้งขนมปังแบบใสเครื่องนี้ เพราะนอกจากจะเห็นว่าขนมปังของคุณปิ้งไปถึงไหนแล้ว ยังไม่ทิ้งคราบดำไว้ให้คุณต้องมาทำความสะอาดทีหลังอีกด้วย
k
k
4.อุปกรณ์หาสัญญาณ Wi-Fi คงไม่ต้องเดินหาป้ายที่มีคำว่า Wi-Fi หรือเดินเปิดแล็ปทอปเพื่อเช็คหาสัญญาณกันอีกต่อไป เพราะเจ้าอุปกรณ์ค้นหาสัญญาณ Wi-Fi ขนาดเล็กเท่าพวงกุญแจนี้จะช่วยคุณทำหน้าที่นั้นแทน ข้อดีคือนอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกแล้ว ยังไม่ทำให้คุณดูแปลกพิกล (ราวกับตรวจจับระเบิด) เมื่อเดินค้นหาแหล่งสัญญาณอีกด้วย



5.โซฟาจิ๋วสำหรับวางโทรศัพท์ เราอาจเคยเห็นที่วางโทรศัพท์รูปร่างเก๋ไก๋แปลกตามาหลายแบบแต่ที่วางโทรศัพท์แบบโซฟาจิ๋วที่มีเม็ดพลาสติกอยู่ข้างในนี้ อาจช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายราวกับกำลังนั่งจมตัวอยู่ในโซฟากลมๆ ที่บ้าน ยิ่งถ้าวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก็น่าจะช่วยให้วันหนักๆ กลายเป็นวันสบายๆ ไปได้ทีเดียว

k
k
6.ที่ใส่เครื่องเขียนรูปคนนั่ง การออกแบบอุปกรณ์
สำนักงานให้สามารถทำได้หลายหน้าที่ยังคงเป็นโจทย์ที่นักออกแบบขบคิดกันอยู่เสมอ และสำหรับที่ใส่เครื่องเขียนรูปคนนั่งอันนี้ที่ใส่ได้ทั้งปากกา ดินสอ สก็อตช์เทปใสพร้อมฟันตัด ก็เป็นคำตอบที่ดีข้อหนึ่ง ของขวัญชิ้นนี้คงเตือนให้เรานึกถึงผู้ให้ได้ทั้งวัน เพราะเขาจะนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานกับเราตลอด

7.เครื่องเย็บกระดาษแบบไม่ใช้ลวด เจ้าเครื่องเย็บกระดาษหรือที่เรียกกันติดปากว่า staple นั้น โดยทั่วไปอาจสร้างความน่ารำคาญ เพราะทำลวดเย็บกระดาษที่แกะแล้วตกไว้บนพื้นมากมาย หรือไม่ก็สร้างความเดือดร้อนหากเราหนีบเอานิ้วตัวเองเข้า เครื่องเย็บกระดาษแบบใหม่นี้ ไม่ต้องใช้ลวดเพราะเมื่อสอดกระดาษเข้าไป ใบมีดจะตัดและขมวดกระดาษเข้าด้วยกัน ทำให้กระดาษสามารถติดกันได้โดยไม่ต้องพึ่งลวดเย็บกระดาษเลย




8.ถ้วยกาแฟ + ช่องใส่คุกกี้ ไม่แน่ใจว่าถ้าคอกาแฟหันมาใช้ถ้วยกาแฟแบบนี้กันหมด จานใส่คุกกี้จะยังขายได้หรือเปล่า เพราะถ้วยกาแฟสุดพิเศษนี้มีก้นที่สามารถใส่คุกกี้ชิ้นโตไว้ได้ถึงสามชิ้น สะดวกมากสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่มือหนึ่งถือแฟ้มเอกสาร อีกมือก็ถือถ้วยกาแฟได้ (พร้อมใส่คุ้กกี้มาด้วย) และคงยิ่งเพิ่มความสะดวกให้กับแม่บ้านออฟฟิศในยามที่ต้องเสิร์ฟกาแฟให้กับแขก




9.ร่มเรืองแสงแบบ Blade Runner ต่อไปนี้ถ้าคุณเห็นดาบเรืองแสงกลางสายฝน ก็อย่าไพล่คิดไปว่ามีใครมาปราบแวมไพร์หรืออัศวินเจไดหลุดออกมานอกจอ เพราะที่คุณเห็นมันคือ ร่มที่มีก้านเรืองแสงแบบภาพยนตร์เรื่อง Blade Runner ต่างหาก ถึงแม้จะดูแปลกและเชื่อว่าน้อยคนนักจะกล้าถือจริงๆ แต่ถ้าคุณคิดจะถือเพื่อความปลอดภัยแล้ว คุณก็บรรลุวัตถุประสงค์ไปแบบเต็มๆ โดยเฉพาะในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำจนมองไม่เห็นทาง หรือว่าไฟถนนดับจนมืดมิด ก้านร่มเรืองแสงก็จะช่วยป้องกันอันตรายจากรถที่ขับผ่านไปมาได้

10.ที่บีบเปลือกถั่วรูป Hillary Clinton บ่อยครั้งที่การเมืองถูกนำมาเชื่อมโยงเข้ากับการออกแบบของใช้ประจำวัน ที่บีบเปลือกถั่ว (Nut Cracker) รูป Hillary Clinton อันนี้ก็เช่นกัน ด้วยนักออกแบบคงจะชื่นชอบพรรคเดโมแครต บวกกับการเล่นคำสองแง่ที่ว่า นางฮิลลารี่จะเป็นผู้แก้ไข (cracker) ปัญหา(nut)ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ บุช ได้ (อุปกรณ์ชิ้นนี้คงถูกออกแบบก่อนที่นายบาร์รัค โอบามา จะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และเป็นประธานธิบดีสหรัฐในปัจจุบัน)


k
k
k
k
k