"งานแอดเฟสต์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน นอกจากส่วนรางวัลแล้ว ก็จะเชิญสปีคเกอร์มา มีสัมมนา แล้ววันหนึ่งจะมี 3-4 สปีคเกอร์ ผมทำหน้าที่เป็นพิธีกร
อีกช่วงจะเป็นช่วงแจกรางวัลตอนกลางคืน ยอมรับครับว่างานพิธีกรแตกต่างจากที่คิด เมื่อก่อนเราไปพรีเซนต์เอง แต่ตอนนี้เราเชิญคนไปพรีเซนต์ แล้วสเกลงานก็ใหญ่ระดับ regional อีกด้วย"
2 ปีก่อน แอนเดรส ลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ (COO) ของเอเยนซีโฆษณารายใหญ่ อย่าง "บีบีดีโอ กรุงเทพฯ" เพื่อมาเปิดบริษัทเอเยนซีขนาดเล็ก ในนาม "ธิงค์ แฟคตอรี" ด้วยเหตุผลของความสบายใจเป็นพื้นฐาน พร้อมๆ กับหยอดคำพูดทีเล่นทีจริงว่า "อยากรวย"
เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก แวดวงธุรกิจโฆษณาในวันนี้ย่อมได้รับผลกระทบก่อนใครเพื่อน แต่ แอนเดรส กลับมีท่าทีผ่อนคลายกับเรื่องนี้ เมื่อพบว่าตนเองตัดสินใจถูกต้องที่ชิงลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองแต่เนิ่นๆ
"ถ้าตอบอย่างที่ผมเห็น ผมว่าเอเยนซีใหญ่ลำบาก อย่างที่รู้กัน มีหักเงินเดือน เลย์ออฟพนักงาน ต้องเข้าใจว่าเขามี bottom line ที่ต้อง deliver อยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยผมอยู่บีบีดีโอ ตอนเป็นซีโอโอ เขาสั่งมา เราก็ต้องทำ"
"ตอนนี้ ผมถือว่าเป็น opportunity ของผม ต้องเข้าใจว่า ก้อนเงินของลูกค้าในการทำตลาด ทำโฆษณาลดลง เขาก็ต้องมาหาออปชั่น หาเอเยนซีขนาดเล็ก เขาก็มาลองดู หากเราเซอร์วิสดี ทำงานดี เขาจะพบว่าจริงๆ แล้ว มันไม่ต่างจากเอเยนซีใหญ่เลยนะ บางทีเขาอาจจะไม่มีเหตุผลไปใช้เอเยนซีใหญ่ที่มีราคาแพง เพราะมีค่าโอเวอร์เฮดคอสต์ที่สูงกว่าก็เป็นได้"
ด้วยการนำองค์กรขนาดพนักงาน 30 คน อย่าง ธิงค์ แฟคตอรี ที่มีรางวัลจากเวทีต่างๆ มาการันตีคุณภาพพอสมควร ผู้บริหารหนุ่มขยายความว่า การทำงานของเอเยนซีขนาดเล็ก มีข้อดีตรงลักษณะที่ "ถึงลูกถึงคน" มากกว่า อีกทั้งผู้บริหารขององค์กรมีโอกาสไปดูแลงานด้วยตัวเอง ทำให้มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
"เดิมทีนั้น ผมตั้งใจจะทำ Brand Consultancy เท่านั้น แต่พอเปิดแล้วพบว่ามีความต้องการให้ทำ advertising ด้วย ตรงนี้อยู่ที่ความต้องการของลูกค้าว่าต้องการแบบไหน ในต่างประเทศ เดี๋ยวนี้เขาเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกใช้ creative เจ้านึง แต่ไปใช้ planning อีกเจ้าหนึ่งได้ เป็นการเปิด choice ให้ลูกค้าเลือก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ การทำงานร่วมกับองค์กรอื่น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา เพราะคนในวงการโฆษณารู้จักกันหมดอยู่แล้ว"
แอนเดรส บอกว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ ยังเป็นระดับโปรเจ็คท์ ไม่ใช่งานระยะยาว (Long Term) ซึ่งเป็นภาพสะท้อนการปรับตัวของการให้บริการในธุรกิจโฆษณามากกว่า
"ถามว่าเป็นเทรนด์มั้ย ผมว่าเอเยนซีใหญ่คงไม่อยากให้เป็นเทรนด์ แต่สำหรับเจ้าเล็กอย่างผม ทำได้อยู่แล้ว (หัวเราะ) เพราะจริงๆ มันเหมือนกับเราไปหาลูกค้า ถ้า planning ดีๆ ส่วนใหญ่ผมก็จะได้งาน creative ตามมาอยู่ดี เพราะคุณ plan ดีนี่ งั้นช่วยทำงาน creative มาด้วย เรื่องนี้อยู่ที่ลูกค้า"
แอนเดรส เห็นว่าข้อดีของการทำงานในองค์กรใหญ่ คือการได้รับ Know How แต่ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป Know How กลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ตามกันทัน เพราะมีเทคโนโลยี อย่าง เว็บไซต์ อินเตอร์เน็ต หรือจากงานสัมมนาที่เมืองคานส์ หรืองานแอดเฟสต์ เป็นต้น
"ทุกครั้งที่เราไปร่วมกิจกรรม เราพบว่าโลกมันเปลี่ยนไปตลอด เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่"
ด้วยธรรมชาติของวงการโฆษณาที่เป็นเช่นนี้เอง คือเงื่อนไขที่สร้างความท้าทายในการทำงานให้แก่ผู้บริหารหนุ่มอย่างเขา
"สำหรับผม สิ่งที่ท้าทายมากคือความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโฆษณา ทุกปีจะเปลี่ยนแบบเร็วมาก ผมไปเมืองคานส์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พบว่าไปไกลมาก หรือแม้กระทั่งงานแอดเฟสต์ นี่เวลาเพียง 2-3 ปี แต่ innovation ที่เกิดขึ้น มันใหญ่มาก ที่เราเห็นมันนิดเดียว แต่มันมีวิธีคิดที่แตกต่างมาก วิธีขยายตลาด ซึ่งไม่หยุดนิ่งและท้าทาย
ยิ่งเมื่อนำ เทคโนโลยีดิจิตัล หรือออนไลน์เข้ามา ยิ่งไม่มี limit ไปแบบไม่หยุด แล้วในผู้บริโภคเอง สมัยนี้ไม่ใช่คนง่ายๆ เขาไม่ถูกทำให้เชื่อได้ง่ายๆ เวลาเขารักแบรนด์สักแบรนด์ มันต้องโดนใจเขาจริงๆ"
ความจริงประการหนึ่งของวงการนี้ก็คือ หากต้องออกจากธุรกิจนี้ไปสักสองปี เมื่อกลับมาคงไม่พร้อมทำงาน เช่นเดียวกันกับการใช้ความคิดในการทำงาน หากครีเอทีฟระดับหัวแถวสักคนปล่อยงานให้ลูกน้องคิดงานแทนสักสามปี แอนเดรสรับรองว่า ตายแน่ๆ ทว่า นี่คือมุมมองเฉพาะตัวของเขา ซึ่งเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าทุกคนจะทำอย่างเขาหรือไม่
"ผมว่า 100 เปอร์เซนต์ของงานที่ต้องพรีเซนต์ อย่างน้อยผมต้องพรีเซนต์สัก 50 เปอร์เซนต์" บอสใหญ่แห่ง ธิงค์ แฟคตอรี ออกตัว "ไม่ใช่เพราะผมอยากจะกุมลูกค้าอย่างเดียว ไม่ให้ลูกน้อง แต่ผมต้องทำเพื่อเป็นการ sharpen skill ของตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ตัวเองล้าสมัย การใช้งานโปรแกรมพรีเซนเตชั่นอย่าง พาวเวอร์พอยท์ ผมไม่เป็นรองใครนะ"
เมื่อถามถึงปรัชญาที่แตกต่างของ ธิงค์ แฟคตอรี เจ้าตัวตอบอย่างภูมิใจว่า กับโรงงานความคิดนี้ เขาเขียนเอาไว้เต็มห้อง พร้อมขยับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เพื่อนำเสนอให้ชม
hhh
๐ "Think Bold ยูกล้ามาก ที่ลาออกมาเมื่อสองปีที่แล้ว ทั้งที่สถานการณ์ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะผมอยากมีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง อยากเป็น communication agency ที่ต่างจากคนอื่น"
๐ "Thank Evolution อันนี้เป็นการ involve พวก old-fashion อาจจะ move ลำบาก พวกใหญ่มากๆ on top อาจจะมี ego เยอะ ราคาแพง แต่ของเราก็ไม่ได้ถูกนะ คือกลางๆ การเป็นเอเยนซีขนาดเล็ก ทำให้ move ได้เร็ว แล้ว focus กับลูกค้า"
๐ "Think Diiference จริงๆ ผมไม่ชอบงานที่ทำเป็นแพทเทิร์นเดิม ถ้าดูงานของผม จะไม่เป็นแพทเทิร์นเก่า จะตอบโจทย์ ณ เวลานั้นของลูกค้า จนดูไม่ออกเลยว่า เป็นผลงานของเอเยนซีเดียวกัน อย่างที่บอกโลกเปลี่ยนเร็วมาก เราต้องทำอะไรที่ต่าง"
๐ "Think Customization ลูกค้าจะเอาอะไรก็ได้ Have It Your Way"
เป้าหมายในระยะสั้นของ แอนเดรส รักตะสิริ คือการรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ให้ได้
hhh
"เอเยนซีทุกแห่งจะมีอยู่แล้ว ทั้ง account loss / gain แต่สำหรับเรา ภาวะแบบนี้ ทำอย่างไรไม่ให้ลูกค้าหลุด minimize loss แค่นี้ก็ดีมากแล้ว โดยที่ไม่ต้องไปแย่งลูกค้ากับคนอื่น"
ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ต้องการให้องค์กรขยายตัวมากจนเกินไป
"ใจผมไม่อยากให้เกิน 50 คน เพราะบางทีใหญ่มากเกินไป ทำให้สูญเสียในเรื่องของ quality control และไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับลูกค้า แล้วถ้าเซอร์วิสไม่ดี ก็จะมีการพูดต่อ มันทำให้เสียหาย"
ระยะเวลา 2 ปีกับการก่อตั้งโรงงานความคิดแห่งนี้ หนทางเบื้องหน้าในสายตาของ แอนเดรส คือเสรีภาพกับการได้ทำงานที่อยากทำในองค์กรธุรกิจของคนไทย โดยตั้งเป้าไว้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะถึงโอกาสบอกลาวงการ เกษียณตัวเองแต่เนิ่นๆ เพื่อไปสอนหนังสือในต่างจังหวัด
จนกว่าจะถึงวันนั้น... ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียของคนที่มีความคิดที่ hiahinhub อยากให้พี่น้องชาหัวหิน ได้รับรู้ไว้ บ้าง ไม่มากก็น้อย... สวัสดี
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ huahinhub Thanks
hhh
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น