6.09.2552

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๑๑๐ (รู้จักตน รู้จักตัวตน)



Mood of Movie ยุทธเลิศ สิปปภาค :

ยุทธเลิศ สิปปภาค (Yuthlert Sippapak) เกิดที่จังหวัดเลย จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาวิชาการออกแบบตกแต่งภายใน จากนั้นเปิดบริษัทรับออกแบบของตนเอง แต่พบว่าไม่ใช่ทางของตัวเอง เลยบินไปนิวยอร์กเพื่อจะไปเป็นสถาปนิก แต่แล้วก็มาเรียนศิลปะอีก อยู่ที่นั่นก็ทำให้เขาค้นพบว่า การทำหนังนี่แหละเป็นสิ่งที่เขาอยากทำ
o
ภาพยนตร์ฝีมือการกำกับของยุทธเลิศ ได้แก่ มือปืน/โลก/พระ/จัน กุมภาพันธ์ บุปผาราตรี สายล่อฟ้า บุปผาราตรี เฟส 2 กระสือวาเลนไทน์ โกยเถอะเกย์ รักสามเศร้า อีติ๋มตายแน่

: พูดถึงแรงบันดาลใจของหนังเรื่อง อีติ๋มตายแน่ รวมถึงความประทับใจกับการร่วมงานกับอาซึกะหน่อย
เริ่มจากการที่ผมกับอุดมอยากทำงานร่วมกัน ตอนนั้นคิดจะทำหนังแอ็คชั่นล้อเลียนเรื่อง Kill Bill อุดมเลยมาคิดต่อว่า เป็น Kill Tim ไหม แปลเป็นไทยก็ อีติ๋มตายแน่ เลยออกมาเป็นเรื่องนี้ ส่วนความประทับใจกับการร่วมงานกับอาซึกะนั้น คือความเป็นธรรมชาติของสาวญี่ปุ่นที่ไม่มีทางเลียนแบบได้ คือ น้ำเสียง กิริยาท่าทาง เขาจะมีลูกคิกขุ ความเป็นญี่ปุ่นอยู่ในสายเลือด และถ้าถามถึงความคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่ทางของผม ปกติผมไม่ได้ทำอะไรที่น่ารักแบบนี้ แต่ว่าความเป็นอุดม ก็ทำให้หนังน่ารักขึ้น

: แล้วจริงๆ หนังของ ต้อม-ยุทธเลิศ ต้องเป็นแนวไหน
ผมจะนำเสนอในเรื่องของความเป็นคน เรื่องของคนๆ หนึ่งมากกว่าจะนำเสนอในรูปแบบของโปรดักชั่น หนังของผมจะเป็นหนังที่เล่าด้วยอารมณ์ เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่ง ผมแคร์เรื่องอารมณ์ร่วมมากกว่าความสวยงาม มองว่าอารมณ์นี่แหละคือความสวยงาม อย่างอารมณ์รัก ถึงฉากจะไม่ได้สวยงาม แต่ ณ ตอนนั้น อารมณ์มันสวยงาม ผมก็จะไปในทางนั้นเลย ดังนั้น หนังของผมจะไปในทางที่มีผลกระทบรุนแรงต่อความรู้สึกของคนดูเป็นอย่างมาก จะไม่ค่อยเป็นหนังที่กลางๆ อาจเรียกว่าเป็นหนังที่สุดโต่งก็ว่าได้

: ตั้งแต่ทำหนังมา เคยรู้สึกท้อกับงานบ้างไหม
ไม่เคยท้อเลย เพราะผมไม่เคยคิดว่าปัญหามันแก้ไม่ได้ ผมไม่ได้ตั้งข้อจำกัดให้ตัวเอง คือข้อจำกัดบนโลกนี้มันเยอะอยู่แล้ว เราก็จะไม่สร้างข้อจำกัดขึ้นอีก คือไม่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมคิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้เสมอในการทำงาน เช่นถ้าคุยกับนายทุนคนนี้แล้วเขาปฏิเสธ ผมก็จะไปหาคนใหม่ ผมไม่ค่อยมานั่งซัพเฟอร์กับสิ่งที่โดนปฏิเสธสักเท่าไหร่

: จริงๆ คุณเรียนอินทีเรียร์ดีไซน์มา แต่ทำไมถึงได้มาทำหนัง
ผมเบื่องานอินทีเรียร์ดีไซน์ เพราะสุดท้ายเราต้องทำงานให้คนอื่น เป็นงานที่เราไม่ได้ใช้ อย่างออกแบบบ้านให้คนอื่นก็เป็นบ้านเขา เอารสนิยมเราไปใส่ในบ้านคนอื่น มันก็กระไรอยู่ มันเหมือนไม่ได้ทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเอง ก็เลยไปหางานที่คิดว่าถ้าทำแล้วมันจะเป็นของเราเต็มร้อย ก็คือภาพยนตร์นี่แหละ ไม่ว่าจะเอาเงินใครมากี่ร้อยล้าน ไม่ว่าจะทำยังไง มันก็จะเป็นงานของเราโดยอัตโนมัติ
o
: ไปอยู่นิวยอร์กมาสองปี ได้ความคิดอะไรจากการใช้ชีวิตที่นั่นบ้าง
ได้ระบบของความคิดที่ว่าคนอยู่มุมไหนก็เหมือนกัน ไม่มีแตกต่าง ภาษารูปร่างอาจจะแตกต่างแค่ภายนอก แต่ภายในความเป็นมนุษย์ มีพื้นฐานเหมือนกันหมดเลย ซึ่งมันเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำหนัง

: ทุกวันนี้มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง และอะไรที่ทำให้คุณมายืน ณ จุดนี้ได้
มันอาจจะสำเร็จในขั้นหนึ่ง คือได้เป็นผู้กำกับฯ แต่ยังไม่สำเร็จสูงสุด เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้ในการเป็นผู้กำกับฯ ตอนนี้มาถึงกลางทางมากกว่า ซึ่งสิ่งที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้ก็คือตัวงานที่ทำ ไม่มีอย่างอื่นเลย คือตัวงานไปโดนนายทุน ไปโดนคนดู ก็เลยทำให้เราอยู่ได้ อีกอย่างผมมองว่าจุดต่ำสุดของเราก่อนเข้าวงการก็มาจากศูนย์ เราเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับการที่จะต้องตกลงมาในที่ต่ำ แต่ถ้าเป็นจุดพีคของความสำเร็จ ยังไม่ถึงนะ เพราะถ้าถึงจุดนั้นมันต้องรู้สึกหวิวๆ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้สึกหวิวอะไรเลย

: คุณมีมุมมองต่อนักวิจารณ์หนังบ้านเราอย่างไร
หนังมันเป็นรสนิยม มันไม่ใช่มาตรฐาน การวิจารณ์ก็ไม่ใช่งานมาตรฐาน มันขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนวิจารณ์ ไม่มีคำว่ามาตรฐาน และนักวิจารณ์เมืองไทยก็เรียกได้ว่าต่ำกว่ามาตรฐาน ขนาดคนที่ยอมรับในวงการวิจารณ์ว่าเป็นคนเก่ง คือเขาดูหนังครึ่งเรื่อง ดูไม่จบ ก็เอาไปวิจารณ์ นั่นคือมาตรฐานมันต่ำกว่าที่อื่น ผมก็เลยมองว่าถ้ามาตรฐานมันต่ำกว่าที่อื่น เราก็ไปซีเรียสอะไรกับมันไม่ได้หรอก

: เป้าหมายต่อไป วางอนาคตตัวเองไว้ที่ไหน
ถ้าไม่เป็นเจ้าของรีสอร์ตที่เกาะเต่า ก็น่าจะเป็นเจ้าของสวนสนุกในดีพาร์ตเมนต์สโตร์ใหญ่ๆ หรือว่าสวนสนุกที่เชียงใหม่ (อ้าว! แล้วจะไม่อยู่ในวงการภาพยนตร์ต่อเหรอ) คือไทม์มิ่งของการทำหนังตอนนั้นคงจะไม่มีอะไรตื่นเต้นสำหรับผมแล้ว เรื่องที่อยากเล่าอาจจะหมด ผมก็คงต้องไปทำอย่างอื่น นอกจากนี้ผมมองว่าหนังเป็นงานอดิเรก ผมคงยึดเป็นอาชีพไม่ได้ แต่ ณ เวลานี้ ผมทำหนังเยอะจนมันดูเหมือนเป็นอาชีพ แต่ผมก็ยังมองว่ามันเป็นงานอดิเรก คือเบื่อๆ ก็ไปทำอย่างอื่น สุดท้ายถ้าอยากทำก็ค่อยกลับมาทำ
o
ใครๆก็อาจประสบความสำเร็จใน หน้าที่การงานได้ ถ้ารู้ว่าตนเอง เหมาะที่จะทำอะไร...เพื่อนๆชาวหัวหินว่ามั๊ย ?
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.247freemag.com
huahinhub Thanks
O

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น