6.01.2552

| กระตุ้นความคิด ด้วยไอเดีย ๗๖ (เปลี่ยน 'อัฐิ' เป็นเพชร..)




h
h
h
h
h
k
ถอดรหัสเพชร อัลกอร์แดนซ่า ต้นตำหรับจากสวิสเซอร์แลนด์ เผยกรรมวิธีดึงคาร์บอนจากเถ้ากระดูกมนุษย์ ผ่านวิธีพิเศษ สร้างเพชรแท้ที่ไม่อาจทดแทน
hh
ต้นปีนี้เอง คนไทยมีโอกาสได้เห็นเพชรเม็ดเล็กๆ ที่เกิดจากการสกัดคาร์บอน จากเถ้ากระดูกของมนุษย์ แล้วนำไปเข้ากระบวนการเลียนแบบธรรมชาติจนกลายมาเป็นเพชร ในนิทรรศการอจีรัง คือ โอกาส ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) คำอธิบายมีเพียงระบุผู้ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือ อัลกอร์แดนซ่า (หมายถึงการไว้ทุกข์) ก่อตั้งเมื่อปี 2004 ปัจจุบันมีทั้งหมด 20 สาขาทั่วโลก เพชรที่นำมาจัดแสดงนั้นเป็นการขอยืมมาจากประเทศญี่ปุ่น 3 เดือนหลังนิทรรศการ อัลกอร์แดนซ่า เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยมี ดร.ยงยศ มนต์เสรีนุสรณ์ เป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท อัลกอร์แดนซ่า (ประเทศไทย) จำกัด
hhhh
การ
ทำอัฐิให้เป็นเพชร...เป็นไปได้อย่างไร เพชรที่ได้มีความเหมือนหรือแตกต่างจากเพชรที่เกิดตามธรรมชาติหรือไม่ เป็นคำถามแรกๆ ที่ ดร.ยงยศ ต้องอรรถาธิบาย
jjjj
เพชรแท้ ไม่ใช่เพชรเทียม
"ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าอัลกอร์แดนซ่าเป็นบริษัทของสวิสเซอร์แลนด์เป็นเจ้าของเทคโนโลยีของการนำอัฐิมนุษย์ขอย้ำว่าเป็นของมนุษย์นะครับ เราจะไม่ทำของสัตว์มาปรับเปลี่ยนโดยดึงเอาคาร์บอนที่อยู่ในอัฐิเปลี่ยนเป็นเพชรไม่ใช่เพชรเทียม แต่เป็นเพชรแท้" ประธานบริษัท อัลกอร์แดนซ่า (ประเทศไทย) เริ่มต้นบทสนา
hhhh
"ทุกคนรู้ว่าเพชรที่ขุดออกมาจากดินเป็นคาร์บอนอะตอม เพียงแต่เป็นคาร์บอนอะตอมที่อยู่ในลักษณะของผลึก 8 เหลี่ยม หรือ รูปปิรามิดหัวกลับ 2 อันชนกัน ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น เนื่องจากคุณสมบัติทางฟิสิกส์ซึ่งมีความแข็งสูงสุด มีการสะท้อนแสงที่ดีที่สุด และมีความบริสุทธิ์ ขึ้นอยู่กับว่าถ้าคุณเอาคาร์บอนบริสุทธิ์มาทำเป็นผลึกคุณสามารถทำได้ ทางธรรมชาติเพชรเกิดขึ้นได้ในความลึก 180 กิโลเมตรในใต้ดิน ภายใต้อุณหภูมิที่สูงอย่างต่ำ 2,500 เซ็นติเซส ความกดดันบรรยากาศเป็นหมื่น atmosphere ตามหลักเทคโนโลยีเบสิคแล้วถ้าคุณสามารถสร้างสภาวะแวดล้อมอย่างนั้นได้ ความจริงเทคโนโลยีตัวนี้เกิดมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเวลา 40-50 ปีมาแล้ว มีคนรู้ว่าทำอย่างนี้ได้แต่ไม่มีใครทำเพราะว่าค่ายใช้จ่ายสูง" kkkk
kkkk
เทคโนโลยีเพื่อความทรงจำ
10 ปีที่ผ่านมา บริษัทอัลกอร์แดนซ่า พัฒนาเทคโนโลยีการสกัดคาร์บอนจากเถ้ากระดูกของมนุษย์ ผ่านกระบวนการเลียนแบบธรรมชาติจนกลายมาเป็นเพชร ขึ้นในห้องแล็บ โดยมีการจดสิทธิบัตรเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา
hhhh
"ตามปกติร่างกายของคนเราเมื่อนำไปเผาแล้ว จะมีกระดูกและเถ้ารวมกันประมาณ 2-3 ก.ก. นำมาใช้เพียง 50 ก.ในกระดูก 2-3 ก.ก.จะมีคาร์บอนอะตอมประมาณ 2-5 % พูดตามหลักมนุษย์ร่างกายเราก็คือสารเคมี ประกอบไปด้วยสารอินทรีย์และอนินทรีย์ คาร์บอนก็คือสารอินทรีย์ อนินทรีย์ก็ได้แก่ แคลเซียม เรานำอัฐิมาสกัดคาร์บอนออกมาแล้วมาตกผลึกในห้องแล็บ ซึ่งมีความดัน 50,000 atmosphere ยกตัวอย่าง เช่น ยางรถยนต์เรามีความดัน 1-1.5 atmosphere ความลึกของทะเลที่อยู่ลึกที่สุดในโลกแถวฟิลิปปินส์มีความดันประมาณ 10,000 atmosphere ในห้องแล็ของเรามีความดันที่มากกว่านี้ถึง 5 เท่า กับอุณหภูมิสูงเท่าที่กับลาวาพ่นออกมาจากปล่องภูเขาไฟ คือ 2,500 องศาเซลเซียสขึ้นไป ความร้อนนี้เมื่อบวกกับความดัน 50,000 atmosphere ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ค่อยๆ ทำให้คาร์บอนบริสุทธิ์ที่แยกมาจากอัฐิจะเปลี่ยนรูปร่างโครงสร้างทางผลึกให้เป็นผลึกชนิดเดียวกันกับเพชร เพราะฉะนั้นหลังจาก 3-4 เดือนผลึกนี้จะกลายเป็นเพชร" ดร.ยงยศ กล่าว
jjjj
รู้มั้ยว่าเพชรจากอัฐิมีสีอะไร
90 เปอร์เซ็นต์ มีสีฟ้าอ่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้น ดร.ยงยศ กล่าวว่าสาเหตุที่มีเพชรจากอัฐิมีสีเพราะมีแก๊สเข้าไป สีคือการสะท้อนแสงของสสาร สีฟ้าแสดงว่ามีโบรอน บี เข้าไป กระดูกเรามีโบรอน บี มากหรือน้อยไม่เท่ากัน แต่สีที่ได้จะมีสีฟ้าอ่อนๆ หลังจากผ่านกระบวนการเลียนแบบธรรมชาติแล้ว เพชรที่ได้จะมีลักษณะเป็นก้อน กระบวนการต่อไปคือการเจียระไนเป็นรูปทรงต่างๆตามต้องการ
kkkk
"จะเอาขนาด 20 ตังค์ 50 ตังค์ก็ได้ เราทำได้สูงสุดคือ 1 กะรัต เราใช้อัฐิ 500 ก. นำมาสกัดคาร์บอนจริงๆ 50 กรัม แล้วคืนให้ 450 ก. คือ เราจะนำมาคัดส่วนที่ดีที่สุดแล้วที่เหลือคืนให้เจ้าของ" สำหรับอายุของอัฐิที่จะนำมาผ่านกระบวนการนี้ "ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาเพราะว่าสสารไม่มีการเสื่อมสลาย เพียงแค่เปลี่ยนรูปร่าง เก็บไว้กี่ร้อยกี่พันปีก็ได้ เพชรที่เราทำจากอัฐิเก่าที่สุดคือปี 1954 ขนาดเพชรใหญ่ที่สุดที่เคยทำ คือ มีคนนึงนำอัฐิมาให้ทำทั้งหมดได้ 1.56 กะรัต เม็ดเดียวเลย"
hhhh
ความทรงจำในรูปแบบใหม่
ถามถึงเหตุผลที่นำเทคโนโลยี
ทำอัฐิให้เป็นเพชรมาเปิดตลาดในเมืองไทย ดร.ยงยศ ให้คำตอบว่า "เพราะเจ้าของเทคโนโลยีเป็นนักฟิสิกส์ ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์เพื่อนอีกคนอยู่เยอรมันเป็นหมอ เรามีสังคมของนักวิทยาศาสตร์กันอยู่ เขาบอกว่าตอนนี้มีเทคโนโลยีนี้มานะ เราก็รอจนกระทั่งเขาบอกว่าจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ผมคิดว่าบ้านเราส่วนใหญ่ก็เผานี่ ยุโรปส่วนใหญ่ฝัง มุสลิมฝัง เอเชียส่วนใหญ่เผา ผมคิดว่าจะลองนำเข้ามานำเสนอเซอร์วิสใหม่เพื่อให้ญาติพี่น้องที่ต้องการความทรงจำที่ดี แทนที่จะนำเอาผมมาใส่ล็อกเก็ต เราเพิ่มเติมเทรนด์นี้ ให้ความทรงจำที่ดี เพชรที่ทำจากอัฐิเป็นเหมือนสื่อที่ดึงเอาความทรงจำที่ดี เป็นความรัก ให้เกียรติศักดิ์ศรีต่อผู้ตาย ในแง่การตลาดมีเยอะมั้ย ? เราไม่รู้ว่าคนจะตายเมื่อไหร่ อันนี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางพิธีกรรม เป็นการเติมแต่ง ความเชื่อของเราพ่อแม่เปรียบเสมือนพระองค์นึง
hhhh
ตอนนี้ที่ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นที่นิยมมาก เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถทำได้ในจำนวนเยอะๆ เราต้องส่งไปที่สวิตเซอร์แลนด์ ทางโน้นเขาจะพิถีพิถันในเรื่องของจริยธรรม ศีลธรรม เพราะว่ามันเกี่ยวพันกับคนตาย กลัวว่าจะมีคนนำไปหาประโยชน์เรื่องเงินทอง" ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอัฐิให้กลายเป็นเพชร อยู่ในราว 200,000-840,000 ขึ้นอยู่กับขนาด (0.2-1.00 Ct) ชมตัวอย่างและสอบถามรายละเอียดได้ที่ เลอ โบ (Le Beau) สยามพารากอน โทร.02-610-9765-6
kkk
----------------
ในนิทรรศการอจีรัง คือ โอกาส ชี้ให้ผู้ชมมองเห็นถึงการสร้างธุรกิจจากความโรยราและการหาโอกาสจากความไม่เที่ยงของชีวิต ผ่านประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการการหลีกหนีจากความตายของมนุษย์ในแต่ละสมัย เริ่มตั้งแต่การทำมัมมี่ของชาวอียิปต์ มาจนถึงการโคลนนิ่ง และล่าสุดการเปลี่ยนอัฐิของคนที่รักให้กลายเป็นเพชรที่กำลังแนะนำตัวอยู่ในเมืองไทย เทรนด์นี้จะได้รับการต้อนรับมากน้อยเพียงใด น่าติดตามชม
hhhh
กระบวนการทำอัฐิให้กลายเป็นเพชร
๐เมื่ออัฐิส่งถึงประเทศสวิสเซอร์แลนด์แล้ว จะนำมาบรรจุลงในกล่องและติดหมายเลขควบคุม ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันการสับเปลี่ยนและปะปนกัน ลงบันทึกในรายการแสดงการตรวจสอบ
๐ ตรวจสอบทางเคมี -ใช้วิธี Diffraction Spectroscopy (กรรมวิธีในการตรวจดูคาร์บอนโดยอาศัยการหักเหของแสง) เพื่อตรวจดูปริมาณคาร์บอน
๐ การสกัดคาร์บอน -ใช้วิธีทางเคมีและความร้อนเพื่อขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกไป ทำให้อัตราส่วนคาร์บอนที่ผสมอยู่เพิ่มขึ้นมากกว่า 90%
๐ การเปลี่ยนรูปเป็นแกรไฟต์ -โดยผ่านกระบวนการที่มีความร้อนและความดันสูงจะทำให้โครงสร้างโมเลกุลของคาร์บอนเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นแกรไฟต์ และยิ่งกว่านั้นในขณะที่สกัด แกรไฟต์จะกำจัดก๊าซที่ปะปนอยู่ออกมา ได้เป็นแกรไฟต์ที่มีอัตราส่วนของคาร์บอนผสมอยู่มากกว่า 95%
๐ การผลิตเพชร -จะผลิตเพชรสังเคราะห์ด้วยขบวนการที่มีความร้อนและความดันสูง (HPHT)
ggg
มันก็คืออีกหนึ่งความมหรรศจรรย์ ที่มีอยู่ในสองของมนุษย์ น่ะนะ แน่นอนว่าเป็นความคิดที่สุดเจ๋ง...และทำได้ไง...แต่ชาวหัวหินเราสนใจจะทำอย่างนี้กับบบรพบุรุษเราบ้างมั๊ย...อันนี้...ต้องติดตาม..สวัสดี
hh
ขอบคุณข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
hiahinhub Thnaks
kkkhh

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น